...ความเดิมตอนที่แล้ว...ขึ้น 6 ค่ำ เดือนที่ 1 ปีมิตรศักราช ที่ 2 เมฆมนตรายังคงนำพาห่าฝนตกลงมายังพื้นที่เมืองไอยราอย่างต่อเนื่องไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ทุกตำแหน่งของคูเมืองมีน้ำเอ่อล้นล่อแหลมต่อการลอบเข้าโจมตีของทหารคร๊อกโคเดี้ยน จนถึงบัดนี้นับการบุกได้ไม่ตำกว่า 24 ครั้ง แม้ทุกครั้งทหารอสุราจะสามารถขับไล่ทหาคร๊อกโคเดี้ยนออกไปได้แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับพลเมืองที่อพยพไม่ทันและตัวปราสาทก็ไม่ใช่ข่าวที่ดีนัก คำสั่งสละเมืองจากกษัตริย์องค์ที่ 11 แห่งราชวงศ์ไอยรา ราชากวิน ได้ถูกถ่ายทอดไปยังหน่วยต่างๆภายในไม่กี่ชั่วโมงภายหลังการปะทะรอบล่าสุด ทหารถูกแบ่งเป็นสองหน่วยใหญ่ๆ ซึ่งราชากวินและครูมวยทิดนำทหารหน่วยหนึ่งเคลื่อนที่ไปยังพื้นที่หวงห้ามที่ซึ่งห้องลับถูกซ่อนไว้ ภายในห้องลับมีสิ่งสำคัญบางอย่างถูกเก็บรักษาไว้ตั้งแต่ต้นบรรพชนของราชวงศ์วงไอยรา และตอนนี้ราชากวินก็พร้อมที่จะสละชีวิตซ่อนความลับนี้ไว้ดั่งเช่นอดีตกษัตริย์องค์ก่อนๆเคยทำมา เมื่อกลุ่มคนผู้เสียสละเข้ามายังห้องลับทั้งหมดแล้ว ทิดก็ทำการปิดตายพื้นที่สำคัญแห่งนี้ด้วยพลังหมัดของเค้าทันที อีกฝากหนึ่งบริเวณหน้าผาด้านหลังพระราชวัง กองทหารหน่วยที่สองกำลังทำหน้าที่คุ้มครองประชาชนกลุ่มสุดท้ายในภารกิจอพยพ จุดหมายของพวกเค้าคือเดินทางไปยังเมืองจินโจวที่ตั้งอยู่ในหุบเขาทางเหนือของทะเลทรายใหญ่กลางทวีป เมืองแห่งนี้อาจปกป้องชาวอสุราไ้วได้ตามคำทำนายของแม่หญิงยุพินที่ได้ให้ไว้แก่ราชากวิน ใจความว่า "ยามที่เส้นทางแห่งเม็ดทรายสิ้นสุด ภูผาอันพิสุทธิ์จะเปิดรับผู้ลี้ภัย" เธอได้ใช้พลังแห่งการพยากรณ์แปลงนิมิตออกมาเป็นคำใบ้ก่อนที่เธอจะออกเดินทางไปช่วยชาวเมืองวินโดเนีย
ทะเลทรายใหญ่ซึ่งกินพื้นที่กว่าหนึ่งในสามของดินแดนอสุรา นามทะเลทรายกู๋เฟน ฝุ่นทรายของพื้นที่แห่งนี้มีส่วนประกอบสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้มันดูแตกต่างจากทะเลทรายทั่วไป มันคือละอองของเศษกระดูกที่ถูกป่นจนละเอียดด้วยฝีมือของแมลงชนิดหนึ่งที่ทำรังอยู่ภายใต้ผืนทรายมาตั้งแต่ยุคกำเนิดโลก แมลงชนิดนี้หรือที่เรียกว่าปลวกกู๋เฟนถูกพบครั้งแรกโดยคณะเดินทางชาวอสุรากลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินทางเสาะหาทำเลที่ตั้งรกรากใหม่ ในรุ่งเช้าก่อนที่พวกเค้าจะเดินทางพ้นเขตทะเลทราย ชายคนหนึ่งสังเกตเห็นว่าเศษกระดูกสัตว์จากอาหารเมื่อคืนที่เค้าทิ้งไว้ภายในที่พักหายไปและปรากฏเพียงละอองของมันกระจายอยู่ เค้าจึงขอให้ทั้งกลุ่มพักกลางทะเลทรายอีกคืนหนึ่งและในรุ่งเช้าของอีกวันเค้าก็จับพวกมันได้ 5 ตัว ขนาดของมันโตพอๆกับข้อนิ้วมือ ลำตัวเป็นปล้องๆและผิวภายนอกเป็นเปลือกแข็ง มีเขี้ยวขนาดใหญ่คู่หนึ่งยื่นออกมาจากปากดูน่ากลัวแต่พวกมันไม่ได้ทำอันตรายผู้หยิบมันขึ้นมาดูเลย เค้าจึงลองเลี้ยงแมลงชนิดนี้ไว้ดูเล่นตลอดการเดินทาง จนกระทั่งวันหนึ่งชายผู้ดูแลแมลงได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับฝูงลิงป่าเจ้าถิ่นภายในหุบเขาวานร เค้าถูกนำร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์กลับมารักษาตัวที่ค่ายชั่วคราว ชาวอสุราถึงแม้จะแข็งแกร่งแต่บาดแผลที่ลึกจนถึงกระดูกก็ทำให้เค้าเจ็บจนอ่อนแรงและสลบไป กลางดึกคืนนั้นเค้าตื่นขึ้นมาคำรามลั่นด้วยอาการปวดแขนข้างที่บาดเจ็บสาหัส มันปวดเหมือนกระดูกกำลังโดนกร่อน เมื่อเขามองไปยังจุดที่ปวดก็พบว่าผ้าพันแผลถูกฉีกออกและมีแมลงเปลือกแข็งที่เค้าเลี้ยงไว้ 3 ตัวเกาะอยู่ภายนอกและมีตัวนึงกำลังไชแผลของเค้าอยู่ ด้วยอาการตกใจเค้าใช้มืออีกข้างหนึ่งปัดพวกมันและดึงตัวที่กำลังไชแผลเค้าอยู่ออกทันที แต่อาการปวดกระดูกไม่ได้หายไปมันกลับยิ่งเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ ตลอดวินาทีของเสียงคำรามด้วยความทรมานแขนของเค้าค่อยๆฟีบลงเหมือนโดนเลาะกระดูก แต่ก่อนที่สิ่งหนึ่งภายในแขนจะเคลื่อนที่ขึ้นไปเกือบถึงหัวไหล่ เค้าก็ตัดสินใจหยิบดาบที่อยู่ข้างกายฟันมันลงที่แขนท่อนบนทันที เมื่อสิ้นเสียงคมดาบกระทบกระดูก หัวของแมลงร้ายตัวที่หายไปและแขนของเค้าก็ร่วงลงสู่พื้น ก่อนที่ชายผู้นี้จะสลบไปอีกครั้งเพื่อนๆก็เข้ามาพอดี เมื่อเห็นท่อนแขนและผงกระดูกที่ถูกป่นกระจายปนอยู่กับเลือดบนพื้นห้องก็เดาสถานการณ์ได้ทันที พวกเค้าจึงฆ่าแมลงเปลือกแข็งที่เหลือนั้นทั้งหมดและยื้อชีวิตชายผู้โชคร้ายไว้ได้ทัน นับตั้งแต่นั้นมาแมลงป่นกระดูกจึงถูกบันทึกไว้ในชื่อของปลวกกู๋เฟนหนึ่งในแมลงอันตรายของดินแดนอสุรา
คำถาม : การลอบเข้าโจมตีของทหารคร๊อกโคเดี้ยนมากกว่ากี่ครั้ง
คำตอบ : คอมเม้นต์เลยครับ