GAMEINDY กระดานสนทนา
www.gameindy.com

↓.~ สงคราม ประวัติศาสตร์ ~.↓

_BoAt

  • Newbie
  • *
    • กระทู้: 99



ภาพ : ทหารอัฟกัน-อเมริกัน แห่งกองทัพสหรัฐฯ ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งคนในภาพชื่อ "Wilkins Stonewall Jackson Banks" และอีกภาพก็เป็นประวัติข้อมูลทางทหารของเขา ซึ่งนำมายกเป็นตัวอย่างเฉยๆ ครับ เพื่อให้เห็นถึงรูปแบบการแต่งกายและเอกสารประจำตัวทหารแต่ละนายด้วยว่ามีรูปแบบเช่นนี้.. ซึ่งสำหรับทหารที่เป็นแอฟริกันอเมริกันในสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้นมีจำนวนกว่า 350,000 นาย ส่วนใหญ่ถูกส่งไปที่แนวรบด้านตะวันตก เพราะการทหารของสหรัฐฯ ตอนนั้นยังคงถูกแบ่งแยกอยู่ ช่วงเวลานั้นทหารสหรัฐฯ ที่เป็นแอฟริกันอเมริกัน ส่วนมากแล้วจะถูกผลักไสให้ทำหน้าที่ในหน่วยทหารที่เป็นการใช้แรงงานที่เป็นหน่วยช่วยรบหรือหน่วยสนับสนุนการรบแทนการให้อยู่ในหน่วยรบ ทั้งนี้ หนึ่งในข้อยกเว้นที่น่าสังเกตก็คือ กรมทหารราบที่ 369 มีชื่อเล่นเรียกว่า "Harlem Hellfighters" เป็นกองทหารแอฟริกันอเมริกันแห่งกองทัพสหรัฐฯ ที่ได้เข้ามายังประเทศฝรั่งเศสในเดือนมกราคม ปี 1918 แต่ก็เป็นเพียงการให้ปฏิบัติหน้าที่ในการสนับสนุนด้านอื่นที่ไม่ใช่หน่วยรบ โดยทหารหน่วยนี้ถือเป็นทหารที่ได้ใช้เวลา 191 วัน ในการปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดีมากกว่าหน่วยทหารของอเมริกันหน่วยอื่นและนอกจากนี้ต่อมาก็ได้มีส่วนร่วมใน "Champagne-Marne" และก็ "Meuse-Argonne campaigns" ด้วย อีกทั้งยังเป็นพันธมิตรหน่วยแรกที่เข้าไปได้จนถึงแม่น้ำไรน์เมื่อเดือนพฤศจิกายน 1918 ต่อมาตอนหลังสงครามโลกยุติ ปัญหาการแบ่งแยกหรือการเหยียดสีผิวในอเมริกันระหว่างคนผิวขาวกับผิวสีก็ลดน้อยลงและมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากขึ้น จนในที่สุดก็อยู่ร่วมกันให้เกียร์ติกันและมีความเท่าเทียมกันแทบทุกด้าน ในฐานะพลเมืองชาวอเมริกันเช่นเดียวกัน และในสมัยนี้สำหรับเรื่องของการแบ่งแยก ดูถูก และการเหยียดสีผิวนั้นถือเป็นเรื่องที่รับไม่ได้และไม่เหมาะสมอย่างยิ่งในสังคมโลกยุคปัจจุบันนี้


Chill-Chill ๛` บ า ง ที ก็ เ ล ว `๛


_BoAt

  • Newbie
  • *
    • กระทู้: 99


[ ซีเรีย : อะไรคือประเด็นที่แท้จริง...? ]

.. หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นต้นมา รัสเซียในนามของสหภาพโซเวียตได้สร้างกองทัพเรืออันยิ่งใหญ่ที่เน้นการทำลายเรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐฯ และ ได้ทุ่มเทการลงทุนให้กับการสร้างเรือรบและเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์เป็นจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรือดำน้ำ

.. การเน้นปฏิบัติการของกองทัพเรือไปที่เรือดำน้ำ ได้นำไปสู่การที่เรือรบของรัสเซียประสพกับความล้าหลังต่อสหรัฐฯเป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น เรือพิฆาตอะกุลา-คลาส เอส.เอส.เอ็น. เนอร์ปา ที่ได้เริ่มสร้างมา๑๕ปี โดยเริ่มสร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๓๑ เพิ่งจะทำการสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ.๒๕๔๖

.. การที่ล้าหลังต่อทางฝ่ายสหรัฐฯได้นำไปสู่ความพยายามต่างๆรัสเซีย ซึ่งได้นำไปสู่การที่เวเนซูเอล่ากลายเป็นคิวบายุคใหม่ และ ซีเรียกำลังจะกลายเป็นแองโกล่า ว่าด้วยการสู้รบกันภายในของฝ่ายต่างๆและความยุ่งยากในการหาข้อยุติที่ต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผลอันซ่อนเร้นที่นอกเหนือไปจากสันติภาพของซีเรีย ซึ่ง ไม่ใช่เรื่องยากหากรัสเซียและอเมริกันจะร่วมมือกันเพื่อสันติจริงๆ

.. ความล้าหลังของกองทัพเรือของรัสเซียได้นำไปสู่เหตุการณ์ที่อับอายขายหน้าที่จำต้องทนกล้ำกลืนในระยะ๘-๑๐ปีที่ผ่านมาหลายต่อหลายครั้งและได้นำไปสู่การกระทำที่ท้าทายต่ออำนาจของอเมริกันในบางครั้งเพื่อการรักษาหน้า

- การเรียนรู้ไปกับความผิดพลาดของการปฏิบัติ หรือ Learning Curve : สิงหาคม ๒๕๔๖ กองทัพเรือของรัสเซียได้ทำการซ้อมรบเพื่อแสดงแสนยานุภาพ ต่อหน้าประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ซึ่งสังเกตการซ้อมรบอยู่บนเรือใต้ฝุ่น-คลาส เอส.เอส.บี.เอ็น อาร์คแองเจิ้ล แต่เรือโนโวมอสโคว และ เรือคาเรลิย่า ประสพกับความล้มเหลวในการยิงจรวดขีปนาวุธRSM-54 SLBM ซึ่งได้นำไปสู่การที่พลเรือเอกวลาดิเมียร์ คุโรเวดอฟ ผู้บัญชาการทหารเรือถูกสั่งปลด

.. กรกฎาคม ๒๕๔๘ ระหว่างที่ทำการฝึกซ้อมเพื่อเตรียมการเฉลิมฉลองวันแห่งกองทัพเรือในเซ็นต์ปีเตอร์เบอร์ก เรือดำน้ำขนาดเล็กพริซ-คลาส AS-28 ของรัสเซียประสพกับปัญหาจนกองทัพเรือสหรัฐฯกับราชนาวีของอังกฤษต้องเข้าไปให้ความช่วยเหลือโดยได้ใช้ยานดำน้ำรีโมทคอนโทรลของราชนาวีอังกฤษเข้าไปกู้ภัย

.. แต่แผนการที่จะสร้างอำนาจทางการทหารทางน่านน้ำขึ้นมาใหม่ของรัสเซียก็ยังคงดำเนินต่อไป จนกระทั่งเราได้เห็นการเผชิญหน้ากันผ่านสื่อนานาชาติอันเผ็ดร้อนตั้งแต่ประเด็นของไฟเย็น

=> ๑. โครงการนิวเคลียร์อิหร่านซึ่งรัสเซียเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างซี่งยังคั่งค้างมาเป็นเวลา๒๐ปีแล้ว
=> ๒. จูเลียน อานซาจ-วิกิลีก ซึ่งได้กลายเป็นนักเขียนคอลัมน์ให้กับสำนักข่าวกระบอกเสียงของรัฐบาลรัสเซีย
=> ๓. เอ็ดวาร์ด สโนวเด่น-อดีตเจ้าหน้าที่สัญญาจ้างพิเศษของซีไอเอ และ
=> ๔. สื่อกระบอกเสียงของรัฐบาลรัสเซียในตะวันตก(ในอเมริกา) เน้น การประโคมข่าวที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงภายในของรัฐบาลสหรัฐฯภายในขอบเขตที่กฏหมายของอเมริกันอนุโลม ซึ่ง สหรัฐฯก็ตอบโต้ด้วยการสนับสนุนนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามของรัฐบาลรัสเซียบางกลุ่มเป็นการตอบโต้และได้นำไปสู่การออกกฏหมายใหม่ของรัสเซียเพื่อยับยั้งการถูกเจาะยาง
=> ๕. ประเด็นของอาวุธเคมีในซีเรีย ซี่ง จะว่าไปแล้วผิดด้วยกันทั้งคู่ อันสืบเนื่องกันเป็นเจ้าแห่งน่านน้ำ ในขณะที่ชาวซีเรียต้องตกเป็นเหยื่อของการแย่งชิงอำนาจของรัสเซียกับอเมริกัน

- เหตุการณ์ต่างๆที่ได้นำไปสู่การส่งเรือรบเข้าสู่ทะเลเมดิเตอเรเนียน : วันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๑ โฆษกของรัฐบาลรัสเซียได้ประกาศว่าสภาสูงของรัสเซียจะไม่เพิกเฉยต่อการร้องขอต่อการเข้าไปปฏิบัติการของกองทัพเรือรัสเซียในเยเมน (สหภาพโซเวียตเคยมีฐานทัพเรืออยู่ที่เกาะโซโคตร้าของเยเมนใต้ซึ่งเป็นรัฐคอมมิวนิสต์ก่อนที่จะรวมตัวกับเยเมนเหนือเป็นประเทศเยเมนในปีพ.ศ.๒๕๓๙)

.. วันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๕ นิโคไลย์ ปาตรูเชฟ ผู้อำนายการคณะกรรมการรักษาความมั่นคงของรัสเซียได้ประกาศว่ารัสเซียจะสร้างฐานทัพเรือในจุดต่างๆบริเวณอาร์คติคเพื่อสนับสนุนปฏิบัติการของเรือรบของกองทัพเรือรัสเซีย

.. พ.ศ.๒๕๕๑ พลเรือโทนิโคไลย์ มัคซิมอฟ ผู้บัญชาการกองเรือเหนือ (Northern Fleet) ของรัสเซียได้ประกาศว่า ‘เราจะทำเท่าที่ทำได้ในการส่งกองกำลังกองทัพเรือเข้าไปในจุดที่สำคัญต่างๆของน่านน้ำโลกเพื่อการรักษาความปลอดภัยการเดินเรือของรัสเซีย’

- ลิเบีย : ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ กองเรือรัสเซีย รวมถึงเรือพิฆาตขับเคลื่อนด้วยพลังงานนิวเคลียร์ปโยเตอร์ เวลิกี้ (ปีเตอร์-เดอะ-เกร๊ต) ซึ่งมุ่งหน้าไปยังเวเนซูเอล่าเพื่อการซ้อมรบได้จอดเทียบท่าเพื่อเสริมอาหารและสัมภาระในการเดินทางที่ทาเรือเมืองทริโปลี-ลิเบีย ติดรากแหปฏิบัติการยับยั้งการขยายอำนาจของกองทัพเรือรัสเซีย และ กับการที่ลิเบียมีส่วนในการทำให้ฝรั่งเศสต้องเสียหน้าในการสูญเสียอิทธิพลในตูนีเซียไป ซึ่ง ทำให้ฝรั่งเศสประสพกับความสำเร็จในการขอร้องให้สหรัฐฯช่วยขับไล่อิตาลีคู่แข่งของฝรั่งเศสออกไปจากลิเบีย ในขณะที่สหรัฐฯสามารถยับยั้งการขยายอำนาจของรัสเซียและจีนในลิเบีย

.. สิงหาคม ๒๔๕๒ สื่อของรัสเซียได้รายงานว่าเรือดำน้ำอะกูลา-คล๊าสของรัสเซียสองลำได้เข้าไปปฏิบัติการบริเวณนอกชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯในโครงการ๙๗๒ ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกที่รัสเซียได้ส่งเรือดำน้ำเข้าไปปฏิบัติการในทะเลแอตแลนติคนับตั้งแต่สงครามเย็นได้ยุติลงเป็นต้นมา

- อินเดีย : จากเวเนซูเอล่าเรือปีเตอร์เดอะเกร๊ตได้เดินทางไปที่อาฟกาใต้ก่อนเดินทางไปร่วมซ้อมรบอินทรา (INDRA-2009) กับกองทัพเรือของอินเดีย ก่อนที่จะเดินทางกลับไปยังฐานทัพเรือเซเวโรมร์สกํ ในเดือนมีนายคม ๒๔๕๒

- ชายรั่วบ้านของอเมริกัน : สิงหาคม ๒๕๕๕ รายงายข่าวจากสื่อเอกชนของอเมริกันได้รายงานว่าเรือดำน้ำคลาส-อะกูลาของรัสเซียได้เข้าไปปฏิบัติการในอ่าวเม็กซิโก ซึ่ง พลเรือเอกโจนาธาน กรีเนิร์ต ผู้บัญชาการกองทัพเรือสหรัฐฯได้ยืนยันกับรัฐสภาของสหรัฐฯว่าเป็นความจริง

.. ๑๕ พฤศภาคม ๒๕๕๖ กองเรือแปซิฟิคของรัสเซียอันประกอบไปด้วยเรือพิฆาตปานตาเลเยฟ เรือยกพลขึ้นบกเปเรสเว็ตและเนเวลสกี้ เรือบรรทุกน้ำมันเปเชนก้าและฟอตีย์ กับ เรือลากจูงกรีย์ลอฟ ที่ได้ออกเดินทางจากฐานทัพเรือวลาดิว๊อสต็อคเมื่อวันที่๑๙มีนาคมได้เดินทางเข้าสู่ทะเลเมดิเตอเรเนียน โดยได้ประกาศว่าจะเข้าไปจอดเทียบท่าที่ลิมมาสโซล-ไซปรัส ในวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๖

.. ๑ มิถุนายน ๒๕๕๖ พลเรือเอกวิคเตอร์ เชอร์คอฟ ผู้บัญชาการทหารเรือของรัสเซียได้กล่าว่าเรือบรรทุกเครื่องบินคุซเน็ตซอฟ จะออกไปปฏิบัติภารกิจหลายประการด้วยกันในบริเวณชายฝั่งโอเชียนิค เครื่องบินของเรือบรรทุกเครื่องบินดังกล่าวได้ว่างแผนที่จะซ้อมการยิงจรวด และได้กล่าว่าการปฏิบัติการดังกล่าวจะเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการถาวรในทะเลเมดิเตอเรเนียน

- ซีเรีย : กันยายน ๒๕๕๑ รัสเซียและซีเรียทำการเจรจาเพื่อการพัฒนาขยายฐานทัพเรือของรัสเซียในซีเรียเพื่อที่จะขยายปฏิบัติการของกองทัพเรียรัสเซียในทะเลเมดิเตอเรเนียน ซึ่ง เป็นขณะเดียวกันที่ความสัมพันธ์ระหว่างตะวันตกกับรัสเซียอยู่ในระหว่างกระทบกระเทือนว่าด้วยกรณีของ ’สงครามออสเซเชียใต้’

อีกทั้ง กรณีของการที่สหรัฐฯจะส่งจรวดป้องกันตนเองไปติดตั้งในโปแลนด์ ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัซซาด ได้ตกลงที่จะให้รัสเซียเข้าไปขยายฐานทัพเรือทาร์ทัสเพื่อปรับให้เป็นฐานทัพเรือถาวรของรัสเซียในตะวันออกกลางสำหรับเรือรบติดอาวุธนิวเคลียร์ รัฐบาลรัสเซียและรัฐบาลซีเรียได้ออกแถลงการณ์นี้ร่วมกันแต่สื่อของซีเรียได้ถูกสั่งไม่ให้เสนอข่าว

.. การตัดสินใจของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อาซซาด ได้นำไปสู่ความไม่พอใจของกลุ่มประเทศในอาหรับลีกเพราะเกรงว่าจะนำไปสู่ความไม่สงบในตะวันออกกลาง

.. ๒๒ กันยายน ๒๕๕๑ อีกอร์ ไดย์กาโล โฆษกของกองทัพเรือรัสเซียได้กล่าวว่าเรือครูเซอร์พลังขับเคลื่อนนิวเคลียร์ปีเตอร์ เดอะ เกรต พร้อมด้วยเรือติดตามอีกสามลำของกองเรือเหนือจากฐานทัพเรือเซเวโนมอร์สกํได้ออกเดินทางเพื่อไปร่วมการซ้อมรบกับกองทัพเรือของเวเนซูเอล่า โดยไม่ได้กล่าวถีงการที่กองเรือดังกล่าวได้แวะไปที่ฐานทัพเรือทาร์ทัสในซีเรียก่อนที่จะเดินทางไปยังเวเนซูเอล่า เจ้าหน้าที่ของรัสเซียได้กล่าวว่ารัสเซียจะเข้าไปปรับปรุงฐานทัพเรือต่างๆที่สหภาพโซเวียตเคยมีอยู่เพื่อการเข้าไปตั้งฐานทัพประจำในทะเลเมดิเตอเรเนียน

.. วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ พล.อ. นิโคไลย์ มาคารอฟ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดรัสเซียได้กล่าวว่า การส่งเรือรบของรัสเซียไปยังทะเลเมดิเตอเรเนียนเป็นปฏิบัติการฝึกซ้อมที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในซีเรีย แต่เขาก็ได้กล่าวว่า ‘ในกรณีที่จะเป็นจริง เช่น การซ่อมแซมที่จำเป็น การเติมน้ำและอาหาร และการให้ลูกเรือได้พักผ่อน เรือรบของรัสเซียก็อาจจะเข้าไปที่ท่าเรือทาร์ทัส แต่กรณีนี้ไม่ได้อยู่ในการวางแผนปฏิบัติการของเรา’

.. นอกจากนี้สำนักงานข่าวอินเตอร์แฟ็กซ์ก็ยังได้รายงานว่าขนาดของเรือบรรทุกเครื่องบินแอดมิรั่ลคูซเน็ตซอฟไม่เอื้ออำนายที่จะเข้าไปจอดเทียบท่าที่ทาร์ทัสและท่าเรือก็ไม่มีความพร้อมสำหรับการที่จะรองรับเรือที่มีขนาดใหญ่ขนาดนั้น

.. พฤศจิการยน ๒๕๕๔ สำนักงานข่าวปร๊าฟด้าและรอยเตอร์ได้รายงานข่าวว่ากองเรือของรัสเซียนำโดยเรือบรรทุกเครื่องบินคุซเน็ตซอฟ จะเดินทางไปยังฐานทัพเรือทาร์ทัส-ซีเรีย เพื่อแสดงความสนับสนุนต่อรัฐบาลของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อาซซาด (ทั้งๆที่วงการทหารสากลต่างรู้กันดีว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เพราะท่าเทียบเรือทั้งสองแห่งของทาร์ทัสมีความยาวเพียงท่าละ๑๐๐เมตร ไม่สามารถที่จะให้เรือบรรทุกเครื่องบินคุซเน็ตซอฟเข้าไปจอดเทียบได้)

- เยเมน.?? จะเกิดอะไรขึ้นในเยเมน ??? : ต้องรอดูกันต่อไปว่ารัสเซียจะมีความเคลื่อนไหวอย่างใดในเยเมน.. ตอนนี้ต้องต่อสู้เพื่อรักษาอำนาจทางการเมืองและฐานทัพเรือในซีเรียก่อน.


Chill-Chill ๛` บ า ง ที ก็ เ ล ว `๛


_BoAt

  • Newbie
  • *
    • กระทู้: 99


ภาพหาดูยาก : เป็นภาพของแนวกำแพงเมืองนครราชสีมาหรือโคราชในอดีต ซึ่งในปัจจุบันแนวกำแพงนั้น ไม่เหลือให้เห็นแล้ว.


Chill-Chill ๛` บ า ง ที ก็ เ ล ว `๛


_BoAt

  • Newbie
  • *
    • กระทู้: 99


ลูเธอร์-จอนห์นี่ ฮตู แฝดผู้นำ กองกำลังกะเหรี่ยง ก็อดอาร์มี่ แยกจากกันมานานกว่า 8 ปีแล้ว ลูเธอร์ไปอาศัยในสวีเดน จอนห์นี่ มอบตัวกับทหารพม่า ปัจจุบันเป็น ทหาร ป้องกันชายแดนกะเหรี่ยง ขึ้นตรงกับพม่า ชีวิตของทั้งคู่ ต่างกันราวกับ ฟ้า กับ เหว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเห็นภาพพี่น้องคู่นี้ อยู่ด้วยกันใกล้ชิด เหมือนภาพเมื่อเป็นเด็ก ร่วมสร้างตำนานผู้นำ ก็อดอาร์มี่ ทหารเด็กอายุน้อยที่สุดในโลก ทีมข่าวสปริงนิวส์อยู่ ระหว่างเดินทางตะเข็บชายแดนไทย-พม่า ด้วยความหวังว่าจะเห็นพี่น้องคู่นี้ได้พบกัน และ อยู่ด้วยกันเหมือนกับภาพนี้


Chill-Chill ๛` บ า ง ที ก็ เ ล ว `๛


_BoAt

  • Newbie
  • *
    • กระทู้: 99



เปิดใจ ‘ลูเธอร์’แฝดกะเหรี่ยงอดีต‘ก๊อตอาร์มี่’และเหตุการณ์ต่างๆ
แฝดทั้ง2 ไม่ได้ลิ้นดำ แต่เป็นเพื่อนเขาที่ลิ้นดำ
ทำไมถึงต้องยึดโรงพยาบาล
ไทยยิงปืนคอถล่มหมู่บ้านกระเหรี่ยง 3วัน3คืน ช่วยพม่าจริงหรือไม่
ลูเธอร์ ได้มีโอกาสกลับมาเมืองไทย แวะเยี่ยมญาติพี่น้องผองเพื่อนอีกครั้ง แต่ความทรงจำต่าง ๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังอยู่ในจิตใจอยู่เสมอ พร้อมยืนยันหนักแน่นว่า ชนกลุ่มน้อยไม่ได้รักในการสู้รบ แต่ที่ต้องจับอาวุธสู้ก็เพราะต้องรักษาชีวิตให้อยู่รอด


Chill-Chill ๛` บ า ง ที ก็ เ ล ว `๛


_BoAt

  • Newbie
  • *
    • กระทู้: 99



เชลยศึกสงคราม ที่มีความสุขที่สุดในโลก

เชลยศึกเยอรมันที่ถูกคุมขังในอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พวกเขาคือผู้โชคดีกว่าทหารเยอรมันเหล่าอื่นๆ เพราะที่นั่น สภาพความเป็นอยู่ของค่ายเชลยที่พวกเขาอยู่ มันไม่ต่างจากการมาเข้าค่ายลูกเสือ หรือ มาทัศนะศึกษา บนดินแดนแห่งเสรีภาพ พวกเขามีเตียงนุ่มๆ ผ้าห่มสะอาด อาหารร้อนๆ 3 มื้อ การรักษาการณ์ในค่ายเชลยก็ค่อนข้างหละหลวมไม่เข้มงวดใดๆ เชลยเยอรมันสามารถเข้าออกค่ายไปทานอาหาร หรือ พบปะกับพลเรือนอเมริกันนอกค่ายเชลย ด้วยระบบให้เกียรติกันและกันในฐานะทหาร ผู้คุมอเมริกันก็ให้ความไว้วางใจเชลยเยอรมันว่าจะไม่หนี และเชลยเหล่านี้ก็รักษาเกียรติของกองทัพ ด้วยการรักษาสัตย์ แม้จะมีบางครั้งที่มีเหตุการณ์เชลยเยอรมันบางนายแอบหลบหนีออกไป แต่พวกเขาก็ถูกจับกลับมาหรือไม่ก็กลับมาเองทุกที

เชลยเหล่านี้ยังมีรายได้พิเศษจากการรับจ้างแรงงานในฟาร์ม หรือ โรงงานที่อยู่ใกล้ๆกับค่าย ในช่วงเทศกาลงานรื่นเริง ที่ค่ายแห่งนี้ก็มีการจัดงานกิจกรรมด้วยเช่นกัน ภายในค่ายเชลยมีการให้การศึกษาแก่เชลยเยอรมัน มีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยมาเผยแพร่และให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์อเมริกันและวิชาความรู้ในเรื่องต่างๆ ที่เชลยมีคำกล่าวจากเชลยทหารเยอรมัยนายหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า

" When I was captured I weighed 128 pounds.
After two years as an American POW weighed 185.
I had gotten so fat you could no longer see my eyes."

พวกเขาถูกคุมขังในค่ายเชลยอย่างมีความสุข


Chill-Chill ๛` บ า ง ที ก็ เ ล ว `๛


_BoAt

  • Newbie
  • *
    • กระทู้: 99



[ภาพ] : แสดงให้เห็นถึงการใช้ธงไตรรงค์ ซึ่งเป็นธงชาติแบบใหม่ที่นำมาใช้ก่อนจะเช้าร่วมสงครามโลกครั้งแรกคของสยามครับ โดยได้นำมาใช้เป็นสัญลักษณ์บนป้ายของหลุมฝังศพทหารอาสาจากสยามที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ ๑ ครับ.

- ภาพ[บนซ้าย]" : เป็นการใช้แถบสีธงไตรรงค์บนป้ายหลุมฝังศพทหารหาญจากสยาม ณ ตำบลยูเบคูรท์ ในยุทธบริเวณของประเทศฝรั่งเศส

- ภาพ[บนขวา] : เป็นการใช้แถบสีธงไตรรงค์บนป้ายหลุมฝังศพทหารหาญจากสยาม ณ เมืองลันเดา ประเทศเยอรมนี

- ภาพ[ล่างซ้าย] : เป็นการใช้แถบสีธงไตรรงค์บนป้ายหลุมฝังศพทหารหาญจากสยาม ณ เมืองมูสบัก..

- ภาพ[ล่างขวา] :เป็นการลดธงลงครึ่งเสา ซึ่งกระทำเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การใช้ธงไตรรงค์ของไทย โดยในภาพ คือ บริเวณอนุสาวรีย์ที่ใช้สำหรับบรรจุอัฐิของทหารหาญสยามที่เสียชีวิต ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ทรงให้สร้างขึ้นมา เพื่อใช้เป็นอนุสรณ์ที่เป็นตัวแทนแสดงถึงความเสียสละของทหารอาสาสยาม ที่เสียชีวิตไปในสงครามโลกครั้งที่ 1 ครับ

ซึ่งทหารอาสาที่เสียชีวิตไปทั้งสิ้น 19 นาย ต่อมาได้รับการจารึกไว้บนอนุสาวรีย์ทหารอาสาด้วย ประกอบด้วย..

1. น.ต. เยื้อน สังข์อยุทธ
2. ร.ต. สงวน ทันด่วน
3. จ.ส.อ. ม.ล. อุ่น อิศรเสนา ณ กรุงเทพ
4. จ.ส.อ. เจริญ พิรอด
5. ส.อ. ปุ้ย ขวัญยืน
6. ส.ต. นิ่ม ชาครรัตน
7. ส.ต. ชื่น นภากาศ
8. พลทหาร ตุ๊ (ไม่ทราบนามสกุล)
9. พลทหาร ซั้ว อ่อนเอื้อวงษ์
10. พลทหาร พรม แตงเต่งวรรณ
11. พลทหาร ศุข พ่วงเพิ่มพันธุ์
12. พลทหาร เนื่อง พิณวานิช
13. พลทหาร นาค พุยมีผล
14. พลทหาร บุญ ไพรวรรณ
15. พลทหาร โป๊ะ ชุกซ่อนภัย
16. พลทหาร เชื่อม เปรมปรุงใจ
17. พลทหาร ศิลา นอมภูเขียว
18. พลทหาร ผ่อง อมาตยกุล
19. พลทหาร เปลี่ยน นุ่มปรีชา


Chill-Chill ๛` บ า ง ที ก็ เ ล ว `๛


_BoAt

  • Newbie
  • *
    • กระทู้: 99



<"NAVY SEAL">..ปะทะ..<"SPETSNAZ">

..." หน่วยรบพิเศษ Navy Seal ปะทะ Spetsnaz เรื่องจริงจากสงครามเวียดนาม " : เนื้อหาทั้งหมดแปลจาก หนังสือชีวประวัติของ "ร้อยโท Robert S. Boyd" อดีตนายทหารหน่วยซีล คนสุดท้ายในเวียดนาม "(หนังสือชื่อ LAST WAR)" ซึ่งเคยเข้าร่วมรบในสงครามเวียดนาม บันทึกถึงเรื่องราวตั้งแต่ก้าวแรกที่เขาก้าวสู่แผนดินเวียดนามจนถึงวันที่ไซง่อนแตก มีบทหนึ่งของหนังสือได้กล่าวถึงการปะทะครั้งหนึ่ง ที่เขาไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดขึ้นบนแผ่นดินเวียดนาม คือ การปะทะกันของ 2 หน่วยรบชั้นยอดที่ถือว่ามีประสิทธิภาพมากที่สุด อีกทั้งยังมีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือด้านความเก่งกาจในการรบ มันเป็นการปะทะที่ถูกปกปิดเป็นความลับมามากกว่า 20 ปี คือ "การปะทะกันระหว่าง Navy Seal ของอเมริกา กับ Spetsnaz ของรัสเซีย" นั่นเอง..

...ต่อจากตรงนี้ ขอใช้สรรพนามแทนตัวบุคคลที่ 1 (ร้อยโท Robert S. Boyd) ตามต้นฉบับครับ...

=> ... [ "บทที่ 7 : "หมีขาวในป่าดิบชื้น" ] ...

... ในปี 1968 หลังจากผมได้กลับมาพักที่ดานัง 1 สัปดาห์ ผมหมดเวลาวันๆ ไปกับการเมาหัวราน้ำตามบาร์ในดานัง ก่อนที่ในเช้ามืดวันที่ 13 พฤษภาคม สิบเอกวิลสันได้มาปลุกผม ผมลืมตาด้วยอาการสลึมสลือ ก่อนที่จะแต่งตัวและเดินตามเข้าไป เมื่อถึงสนามบินดานังผมพบว่า ลูกทีมของผมอีก 2 คนพร้อมสัมภาระถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อย มันยังเช้าอยู่เลยอากาศที่เย็นจะน่าขนลุกผมรู้สึกได้ ช็อปเปอร์ถูกติดเครื่องรอไว้แล้ว ผมยังไม่ทราบอะไรเลยว่าเกิดอะไรขึ้น

"วิล นี้มันเรื่องอะไรกัน".. ผมตะคอกถามวิลสัน

"ผมพยามยามตามหาหมวดตั้งแต่เมื่อคืนแล้วครับ แต่ผมหาหมวดไม่เจอ".. วิลตอบผม

... ยังไม่ทันที่ผมจะถามอะไรต่อ นักบินประจำช็อปเปอร์ก็เดินตรงเข้ามาหาผมและลากผมเข้าไปในกระโจม นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอกับ จิม เจ้าหน้าที่ CIA ซึ่งต่อมาผมต้องทำงานกับเขาอีกหลายครั้ง เขาเป็นชายวัยกลางคนท่าทางยียวนเหมือน จอน เวน คาบซิการ์ สวมแว่นเรย์แบนฉาบปรอทวาววับ เหมือนหลุดออกมาจากในหนังไม่มีผิด

"สวัสดีผู้หมวด ผมมีงานให้คุณทำ"..เขาทักทายสั้นๆ ก่อนที่จะกางแผ่นที่ลงบนโต๊ะแล้วหยิบปากกาเคมีสีแดงมาวงตรงพื้นที่หนึ่ง แล้วพูดกับผมว่า ...

"เมื่อคืน หน่วยข่าวกรองของเราตรวจพบเครื่องบินลงจอดในสนามบินลับแห่งหนึ่งในหุบเขาซองตรีผมอยากให้คุณไปดู คุณแค่เข้าไปเงียบๆ ถ่ายรูปแล้วกลับออกมา ง่ายมั้ย.?".. เขาพูดพลางมองหน้าผม

"ผมอยากทราบรายละเอียดมากกว่าครับ".. ผมถาม

"ไม่ เราไม่รู้อะไรมากกว่านี้ คุณนั้นแหละมีหน้าที่หารายละเอียดมาให้ผม".. เขาตอบ

"ช็อปเปอร์จะปล่อยคุณลงเครื่อง ห่างจากจุดที่เราสงสัยว่าเป็นสนามบิน 5 กิโลฯ ขอให้พวกคุณโชคดี".. พูดจบ จิมก็ลุกขึ้นยืนตบไหล่ผม แล้วยิ้ม

... ผมไม่เคยต้องทำงานโดยไม่รู้อะไรอย่างนี้มาก่อน แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ ผมเดินออกจากเต็นท์ เช็คข้าวของก่อนที่แบกมันใส่หลัง ก่อนที่วิลจะยื่นสีพรางหน้าให้ผม ผมปาดสีอย่างลวกๆ ตามใบหน้าและหลังมือ เดินนำหน้าพาลูกทีมขึ้นช็อปเปอร์ก่อนที่มันจะพาพวกผมสู่ซองตรี ผมเห็นจิมยืนกอดอกอยุ่หน้ากระโจมมองพวกผมจนลับตา ให้ตายสิ!!ผมไม่ชอบ***หมอนี่จริงๆ

... ผมนั่งอยู่หลังดอร์กันเนอร์ข้างขวา โดยมีวิลสันนั่งอยู่ข้างๆ ตรงข้ามผมคือ "อเล็ก" เด็กหนุ่มร่างเล็กจากกรรมกร ในอลาบาม่า ที่เพิ่งทัวร์เวียดนามครั้งนี้เป็นครั้งแรก แต่ก็โดนใช้งานจนคุ้ม เขาเป็นพลวิทยุประจำทีมที่ไม่เคยปริปากบ่นถึงงานที่ทำ ถัดจากอเล็ก คือ "ลิงเกอร์" เด็กปั้มจากอริโซน่า ที่หนีออกจากบ้านเพื่อมาเป็นทหาร เขาเป็นคนที่แกร่งที่สุดคนนึงที่ผมรู้จัก เขาได้บรอนซ์สตาร์จากการแบกเพื่อนร่วมทีมจากห่ากระสุนในการปะทะที่นาตรัง ส่วน "วิลสัน" เขาเป็นคนเดียวในทีมที่มาเวียดนามพร้อมกับผม วิลสันเกิดในครอบครัวคนทำเนยในจอร์เจีย เป็นคนเคร่งศาสนาคนนึง ทุกครั้งที่เขากลับจากการปฏิบัติภารกิจ เขามักจะเก็บตัวอยู่ในศาสนสถานเป็นชั่วโมงๆ

... ผมกวาดตามาเบื้องล่างที่เต็มไปด้วยสีเขียวของต้นไม้และสีเทาของหินผาตัดกัน ซองตรีเป็นหุบเขาปิดที่มีความสลับซับซ้อนมาก จนทำให้ผมนึกว่านักบินที่นำเครื่องมาลงเมื่อคืน หมอนี้ต้องเป็นมือโปรจริงๆ แค่บินกลางวันก็จะแย่แล้วแต่หมอนี้กลับนำเครื่องลงกลางคืนได้ทั้งๆ ที่ไม่มีไฟนำทาง

... ก่อนที่จะฟุ่งซ่านมากกว่านี้ ดอร์กันเนอร์ก็ตบบ่าผมและชี้ไปข้างหน้า เครื่องค่อยๆ ลดระดับลง ก่อนจะลอยตัวเหนือพงหญ้า ผมมองหน้าวิลสัน อเล็ก และลิงเกอร์ พยักหน้า แล้วโดดลงไป ซวบ.!! หญ้าพวกนี้มันสูงกว่าหัวพวกผมเสียอีก หลังจากตั้งหลักได้ ผมก็ยืนมองช็อปเปอร์ที่บินจากไป ก่อนย่อตัวลงตรวจการณ์รอบๆ และนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ๆ เราฟังเสียงรอบๆ ซึ่งมันเงียบสงบ มีแต่เพียงเสียงลมและเสียงแมลง แค่นั้น

... ผมวางทีม โดยมีวิลสันอยู่ข้างหน้าถัดจากผม อเล็กและเล็กเกอร์ปิดท้าย แล้ววิลสันก็ค่อยๆ คลานไปข้างหน้าช้าๆ ก่อนที่เราจะตามไป เงียบๆ พักใหญ่ เราก็ออกจากพงหญ้านี้ มันเป็นป่าดิบชื้นที่รกทึบ จนแทบจะไม่มีแสงส่องผ่อนมาเบื้องล่างเลย เราเดินไปตามแนวต้นไม้ใหญ่เรื่อยๆ อย่างช้าๆ ในใจผมคิดแค่ว่า เราแค่มาหาสนามบิน ถ่ายรูป แล้วก็กลับออกมาก็แค่นั้น ซึ่งไม่เคยคิดเลยว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ มันจะมีสิ่งที่เกิดครั้งหนึ่งในชีวิตและสิ่งนี้ที้จะต้องทำให้ผมจดจำมันไปชั่วชีวิต

... เราเดินไปขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ อย่างช้าๆ ร่วม 20 นาที มันเงียบและเงียบมากเกินไปจนผมรู้สึกว่ามันผิดปกติ ในทีมไม่ใครพูดอะไร ทุกคนเงียบ แต่สิ่งที่ผมคาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น

... ลูกจรวด RPG-7 พุ่งมาจากด้านขวาของผม กระทบเข้าเนินดินเล็กๆ ข้างหน้าแตกกระจาย พวกเรากระโดดออกไปคนละทิศละทาง หมอบเงียบและประทับปืนขึ้นเล็งหาเป้าหมาย

... หลังจากที่กลุ่มควันและเศษดินกระจัดกระจายจางหาย เรากวาดตาและมองไปรอบด้าน ไม่พบอะไร แล้วก็ไม่มีการโจมตีอีก มันต่างจากทุกๆ ครั้ง ที่พวกผมเคยเจอ พวกนั้น เจตตาที่จะยิงเข้าที่เนินดินมากกว่าจะยิงพวกผม ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เรายังคงหมอบนิ่งในจุดกำบัง อเล็กมีอาการหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด เขาหายใจถี่และกัดริมฝีปากตลอดเวลา

... ในขณะที่เล็กเกอร์กวาดสายตาไปทั่วแต่ทุกอย่างก็ยังเงียบสงบ เงียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่วเราก็หมอบอยู่อย่างนั้นราวๆ 10 นาที จนทำให้รู้สึกว่า พวกนั้นไม่ได้ต้องการชีวิตเรา เพียงแต่ต้องการยั่วยุ และลองเชิงพวกเราเพียงเท่านั้น ความเงียบที่มันก่อตัวขึ้นนั้น มันทำให้ผมรู้สึกถึงความแตกต่างได้อย่างชัดเจน ซึ่งนี่ ไม่ใช่สิ่งที่ผมเคยเจอ นี่เป็นสิ่งที่เรียกว่ากลยุทธ ที่มันแตกต่างจากตลอด 2 ทัวร์ในเวียดนามที่ผมปะทะกับทหารเวียดนามเหนือและเวียดกงนับร้อยๆ ครั้ง แต่ครั้งนี้มันคือ สิ่งที่แตกต่างออกไป พวกนั้นนิ่งเงียบเกินไป ผมสังเกตุเห็นอาการหงุดหงิดของลูกน้องได้อย่างชัดเจน ทุกคนมีอาการและท่าทางกังวลและมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น

... ทันใดนั้น!! จรวด RPG ลูกที่ 2 ก็พุ่งเข้าหาเนินดินฝั่งที่ลิงเกอร์หลบอยู่ ดินแตกกระจาย กลุ่มควันพวยฟุ่งไปทั่ว เราทุกคนกดหัวลงแนบพื้น แล้วค้นหาต้นตอ

"ที่หกนาฬิกา อเล็ก M-72".. ผมตะโกนให้อเล็กประทับ M-72 แล้วเหนี่ยวไปทางที่ผมบอก

"ตูมมม!!!".. M-72 พุ่งเข้าที่กอไม้อย่างจังจนแตกกระจายไปทั่ว แต่!!..ก็ไม่การยิงกลับ หรือปฎิกริยาใดๆ ผมรู้สึกทนไม่ไหวกับสถานการณ์แบบนี้จริงๆ ฝั่งตรงข้ามอยู่ในทำเลที่ดีกว่าเรา ที่สำคัญพวกเขามองเห็นเรา แต่เราไม่เห็นแม้กระทั่ง อะไรเลย!!

... เราโดนกดอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน และนานมาก จนเวลาล่วงเข้าไป 11 โมง ก็ยังไม่มีการโจมตีที่ชัดเจน ภารกิจที่เราได้รับคงจะเป็นไปไม่ได้เสียแล้วถ้าเรายังโดนกดอยู่อย่างนี้ ผมจึงจำเป็นต้องตัดสินใจบางอย่าง ผมบอกให้ทุกคนหยิบระเบิดมือขึ้นมาแล้วถอดสลัก จากนั้นพวกเราก็พากันขว้างออกไป คนละทิศ คนละทาง ตูมมมๆ ๆ ๆ !!! และพอสิ้นเสียงระเบิด ผมลุกขึ้นชาร์จไปยังทิศทางที่คิดว่าเป็นสนามบิน

... เราจัดการยิง เป็นแบบสลับฟันปลา ซ้าย และ ขวา อย่างที่เคยฝึกมาเป็นร้อยๆ ครั้ง การตัดสินใจครั้งนี้ ทำให้พวกนั้นตกใจและไม่คิดว่าเราจะบ้าระห่ำพากันทำแบบนี้ และแล้วพวกนั้นก็ยิงสวนกลับมาเป็นชุดใหญ่

... "ลิงเกอร์" ซึ่งเป็นคนปิดท้ายแถว ได้บอกกับผมภายหลังว่า กระสุนปืนมันเฉี่ยวตัวเข้าตลอดเวลา จนรู้สึกได้เลยทีเดียว ผมยิงสลับกับการขว้างระเบิดมือเพื่อเปิดทาง แล้วก็วิ่งๆ วิ่งวิ่งๆ วิ่ง จนเราหลุดออกมายังชายป่าไม่ห่างจากจุดที่เราพากันดรอปลงเท่าไรนัก

... ผมพาพวกเขาโดดลงไปในปลักดินที่ลึกประมาณเข่า หยิบซองกระสุน และระเบิดวางเรียงไว้ข้างหน้า เพื่อเตรียมการรับมื่อในสิ่งที่ตามมาที่มันกำลังจะเกิดขึ้น ไม่ว่าอะไรก็ตาม

... "อเล็ก" โผตัวออกไปวางเคลย์มอร์ที่ด้านหน้าเรา ในขณะที่อเล็กกำลังวางเคลย์มอร์ลูกที่ 2 อยู่นั้น มีกระสุนจากชายป่าพุ่งเข้าเจาะที่ชายโครงของเขา เขาล้มลงต่อหน้าพวกเรา ลิงเกอร์หวด M-79 ชุดใหญ่ ยิงเข้าชายป่าในด้านที่อเล็กโดนยิง

... ในที่สุด เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นพวกเขา ชายร่างใหญ่ สูงกว่า 7 ฟุต ในชุดลายพรางที่ไม่คุ้นตา หน้าตาพรางไว้ด้วยสีดำ ในมือถือปืนดรากูนอฟ วิ่งหลบเข้าไปในเงาไม้ ผมอุทานออกมาว่า..

"Spetsnaz..!!!! ".. วิลสันหันกลับมามองผมทันที เราทุกคนต่างไม่คิดว่าจะได้เจอกับ "Spetsnaz" ในแผ่นดินเวียดนามนี้มาก่อน ไหนล่ะข่าวสารเกี่ยวกับพวกเขา ไหนล่ะข้อมูล ผมไม่เคยได้รับข้อมูลเหล่านี้มาก่อนเลย ถึงกระนั้นเราก็ยังต้องยิงตอบโต้ไป พวกนั้นได้รับการฝึกมาอย่างดีเยี่ยม การวางตัว และแนวการยิง ผสานกันได้ดีมาก จนทำให้ผมรู้สึกว่าการยิงของเราทั้งสองฝ่ายนั้น มันเหมือนการทักทายกันเสียมากกว่า

... พวกเขาวางตัวในชายป่า เงาจากชายไม้ช่วยกำบังพวกเขาได้ดี ในขณะที่เราอยู่ในปลักที่มีเนินดินสูงพอควรที่จะใช้กำบัง เสียงลูกปืนกระทบที่เนินดินจนรู้สึกสั่นสะเทือน กลุ่มควันจากแรงระเบิด มันทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังฝันไป

... ผมเคยปะทะกับทหารเวียดนามเหนือหรือเวียดกงที่มีกำลังพลมากกว่าเป็นสิบๆ เท่าด้วยซ้ำ มันยังไม่เคยรู้สึกกดดันเช่นนี้มาก่อนและแล้วเสียงโอดครวญของอเล็กนั้น ทำให้พวกเรามั้งหมดพากันตื่นจากผวัง

... พวกนั้นตั้งใจยิงเขาไม่ให้ตายแต่จะล่อพวกเราที่จะออกไปช่วยต่างหาก

"รหัสแดงๆ เราโดนโจมตี ขอแอร์บอมด้วยๆ ย้ำรหัสแดง".. วิลสันตะโกนกรอกใส่วิทยุสื่อสื่อสาร

"นี่สกายไรเดอร์ เราอยู่ห่างคุณ 12 ไมล์ เรากำลังจะเข้าไป".. เสียงตอบจากเครื่อง A-1 ที่บินลาดตระเวนอยู่แถวแม่น้ำวาชองตอบกลับมา

... ผมไม่แน่ใจว่า เราจะยันพวกนั้นได้นานแค่ไหน ผนวกกับอเล็กที่นอนเจ็บอยู่ข้างหน้า และพวกมันก็ยิงกดผมตลอดเวลา แล้วเราจะช่วยเขาอย่างไรกันดี

... Spetsnaz ใช้วิธีการยิงและเคลื่อนที่ตลอด ไม่หยุดอยู่นิ่งๆ เราจึงจับทิศทางของเขาไม่ได้เลยจริงๆ เมื่อพวกนั้นเห็นว่าพวกผมไม่ออกไปช่วยคนเจ็บ พวกมันจิงยิงเข้าที่ต้นขาของอเล็กอีกนัดหนึ่ง อเล็กร้องครวญด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่เข้าจะกลิ้งตัวเข้าไปในพงไม้ ผมเห็นเขาหันหน้ากลับมามองผม และนั้นก็เป็นภาพสุดท้ายที่ผมเห็นเขาจรวด RPG ลูกหนึ่งพุ่งเข้าใส่เขาที่พงไม้อัดร่างของอเล็กกระเด็นลอยจากพื้น และตกลงมากะแทกพื้นห่างจากพวกผมไม่ถึง 5 เมตร เขาแน่นิ่ง เลือดและแผลไหม้เต็มตัวเขาไปหมด

... ผมหมดความอดทน โผตัวออกจากหลุมตรงไปที่ร่างอันไร้วิญญาณของอเล็กแล้วลากเขามายังปลักดิน วิลสัน และลิงเกอร์ เปิดฉากยิงคุ้มกันผม จนถึงปากหลุมผมลากศพเขาลงไป แล้วมองดูเขา ก่อนจะปล่อยวาง หันกลับมา ยิงตอบโต้ต่อไป

"เราอยู่ข้างบนแล้ว ชี้เป้าด้วย"... เสียงจากเครื่อง เอ-1

... วิลสันปาระเบิดควันออกไปข้างหน้า .."หน้าเสื้อกันฝนสีเหลือง บริเวณชายป่า อัดมันเลย"..

"รับ ทราบ"... แล้วเครื่อง เอ-1 ก็จิกหัวลง ทิ้งทุกสิ่งที่เขามี ลงบริเวณชายป่าหน้าเรา จนเกิดเป็นเปลวเพลิงลุกท่วมชายป่า ก่อนที่เครื่อง เอ-1 จะเชิดหัวขึ้น .."ผมช่วยได้แค่นี้ ช็อปเปอร์กำลังจะมารับคุณ".. เอ-1 ตอบกลับมาอีกครั้ง

"ขอบใจ ที่เหลือเราจัดการเอง".. เปลวไฟจากระเบิดนาปาล์มฟวยพุ่งขึ้นสูงกว่ายอดมะพร้าว จนไอร้อนปะทะหน้าผมอย่างจัง ผมมองดูเปลวไฟและคิดว่าพวกนั้นคงจบอยู่ในนั้นแล้วล่ะ

... ผมคิดผิด!!! กระสุนปืนพุ่งมาจากชายป่าด้านขวาเข้าใส่ต้นขาลิงเกอร์ลงไปนอนจมโคลน ก่อนที่เขาจะพยุงตัวแล้วตะโกนด่า .."บ้าชิบ".. ให้ตายสิ พวกนั้นมันทันเคลื่อนตัวไปตั้งแต่เมื่อไร รัศมีระเบิดนั้น มันมากกว่า 200 เมตร เลยนะ

... ฝ่ายนั้นระดมยิงเราหนักขึ้น เหมือนเป็นการบอกว่าคราวนี้เอาจริงแล้วนะ ทั้งระเบิดและกระสุนปืนดังระงมไปทั่ว ผมเห็นพวกเขาวิ่งสลับแนวไม้ไป-มา หยุดแล้วยิ่ง แล้ววิ่งสลับไปสลับไป-มา เช่นนั้น

... กระสุนเราใกล้จนหมดแล้ว ส่วนที่เหลือตอนนี้ คือ กระสุนจากตัวอเล็กที่เจ้าตัวไม่มีโอกาสได้ใช้ กระสุน 20 มม. ของปืน m-79 หมดแล้ว ลิงเกอร์ลากปืนลูกซอง 5 นัด ขึ้นมาประทับ แล้วยิงทุกอย่างที่เขาเห็นว่ามันใกล้เข้ามา วิลสันก็ยังวิทยุติดต่อช็อปเปอร์ตลอด สลับกับการยิง

... "ซองตรี (รหัสของการปฎิบัติงานครั้งนี้) เห็นคุณแล้ว แต่เราเข้าไปไม่ได้ คุณต้องออกมา".. ฮิ้วอี้บินอยู่เหนือหัวเรา ไป-มา ก่อนที่จะบินหลบเมื่อถูกกระสุนยิงไล่จากชายป่า

"โอเค เราจะออกไป"..ว่าแล้วลิงเกอร์ก็แบกศพอเล็กขึ้นป่า เมื่อผมให้สัญญาณ ลิงเกอร์ก็วิ่งขึ้นจากปลักดินท่ามกลางห่ากระสุนโดยการคุ้มกันของผมกับวิลสัน ผมได้ยินเสียงเขาตะโกนกลบเสียงปืน .."ข้าคือนาวี ข้าคือหน่วยซีล ***หน้าไหน ข้าก็ไม่กลัว ฮู้ย่าๆ..!!! "

"วิล ตาคุณแล้ว".. ผมบอกวิลให้ไป วิลมองหน้าผม .."หมวดรีบตามไปล่ะ".. เขาบอก แล้วลุกขึ้นกระโดดจากปลักดิน วิ่งขึ้นเนินตามลิงเกอร์ไป ผมยังอยู่ที่นั่น ฮิ้วอี้ลดระดับลงลงเนินดินที่วิลกับลิงเกอร์ไป ลิงเกอร์และวิลสันช่วยกันเอาศพของอเล็กขึ้นช็อปเปอร์ ก่อนจะกลับมาตั้งหลักที่เนินดินยิงคุ้มกันผม ผมก้มลงประกอบระเบิดพลาสติกที่นำติดตัวมาหวังจะใช้ระเบิดเพื่อเปิดทางหนี

... แต่ในจังหวะที่ผมเงยหน้าขึ้นมานั้น ชายร่างใหญ่ในเครื่องแบบที่ไม่คุ้นตา กับปืน AK-74 ก็ชาร์จเข้ามาใกล้ผม ผมคิดว่าผมคงจะจบตรงนี้แน่ ผมจำแววตานั้นได้ แม้มันจะผ่านมาถึง 20 ปีแล้วก็ตาม แววตาที่จ้องเขม็ง มองยังผม หมายจะเอาชีวิตผมให้ได้ ผมชักปืนพกขึ้นในจังหวะเดียวกับที่เขาประทับปืนหมายจะยิงผม เราทั้งคู่ต่างยิงกันและกัน ผมโดนเข้าที่ไหล่ขวา ก่อนที่เขาจะโดนกระสุนผมเข้าที่ท้อง เขาล้มทรุดลงกับที่พร้อมกับที่ผมได้กระเด็นไปด้วยแรงปืน

... ในขณะที่ผมกำลังจะสิ้นสติ วิลและลิงเกอร์ก็เข้ามาลากผมออกจากปลักโคลนนั้น ลิงเกอร์จุดระเบิดพลาสติก แล้วโยนเข้าไปที่ชายป่า เสียงระเบิดดังไล่หลังตามเรามาพร้อมกับลูกปืน

... พวกเขาลากผมขึ้นช็อปเปอร์ ก่อนที่ช็อปเปอร์จะทะยานออกจากขุมนรกนั่น ร่างของผมนอนอยู่ข้างๆ ศพอเล็กและนี่เป็นครั้งแรกที่ผมหลั่งน้ำตาออกมาตั้งแต่ได้เข้ามาเวียดนาม

"มันจบแล้ว ผู้หมวด".. วิลกล่าว

"ยังหรอกจ่า มันเพิ่งเริ่มต้น".. ลิงเกอร์พูด พร้อมชี้ไปยังเบื้องหลัง ภาพกลุ่มชายในชุดทหารโซเวียตเข้ามาช่วยเพื่อนของพวกเขา แล้วกลับหายเข้าป่าไป สงครามครั้งนี้ มันทำให้ผมจินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่าต่อไป จะเป็นเช่นไร

... หลังจากที่ผมกลับมาถึงฐาน ผมถูกส่งตัวเข้ารับการรักษา วิลและลิงเกอร์ที่มาเยี่ยมผมบอกว่า พวกเขาถูกหน่วยข่าวกรองและ CIA เรียกตัวไปสอบครั้งแล้ว ครั้งเล่า พวกเขาบอกว่าที่ีพวกเราเจอน่ะ "Spetsnaz" นะ แต่ก็ไม่มีใครเชื่อสักคน ทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า "ไม่มีทางที่ Spetsnaz จะมาโผล่ที่เวียดนามหรอก มันเป็นไปไม่ได้"

... หลังจากนั้นไม่นาน "จิม" จนท.CIA ที่ส่งผมเข้าไปก็มาเยี่ยม พร้อมกับสอบถามผมในคำถามที่ไม่ต่างกับ 2 คนนั้น ผมก็ตอบเหมือนกันคือ "ที่ผมเจอคือ Spetsnaz".. จิมไม่แสดงทีท่าอะไร แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเชื่อผม หลังจากนั้น ผมก็ยังทำงานในเวียดนามอีกถึง 18 เดือน ก่อนที่จะมีการถอนหน่วยซีลออกมาจากเวียดนาม

... เรื่องจริงทั้งหมด เพิ่งจะมาเปิดเผยหลังการล่มสลายของโซเวียต โดยเจ้าหน้าข่าวกรองของโซเวียตที่ขอลี้ภัยมาในอเมริกา เขายืนยันว่า "โซเวียตเคยมีการส่งทหารเข้าไปในเวียดนาม ถึง 23 ครั้ง ในจำนวนนั้น เป็นหน่วย Spetsnaz ถึง 3 ครั้ง ใน 3 ครั้งนั้น ครั้งที่ผมเจอเป็นการคุ้มกันการลำเลียงจรวดจาก พื้นสู่อากาศ แบบ SAM-7 และในครั้งนั้น Spetsnaz สูญเสีย 4 นาย จากจำนวน 18 นาย ที่ส่งไป


Chill-Chill ๛` บ า ง ที ก็ เ ล ว `๛


_BoAt

  • Newbie
  • *
    • กระทู้: 99




<ภาพ> : แมกอาร์เธอร์ พร้อมทหารฝ่ายสหรัฐฯ ขณะลงหาดหวนกลับคืนสู่ฟิลิปปินส์ ณ สมรภูมิแปซิฟิก ในการรบที่อ่าวเลเต

พลเอก ดักลาส แมกอาร์เธอร์ (Douglas MacArthur ; 26 มกราคม 2423 - 5 เมษายน 2507) เป็นนายพลอเมริกันที่มีชื่อเสียงในการบัญชาการรบภาคพื้นแปซิฟิก ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นผู้บัญชาการผู้ที่ให้ญี่ปุ่นจดสนธิสัญญาพ่ายแพ้ให้กับฝ่ายพันธมิตร ณ เรือประจัญบานยูเอสเอส มิสซูรี นอกจากนี้เขายังเป็นบุคคลสำคัญที่ทำให้ ญี่ปุ่นพัฒนาอย่างรวดเร็ว และยังเป็นผู้บัญชาการสมัยสงครามเย็นในสงครามเกาหลีด้วย

แมกอาเธอร์นั้นมีต้นตระกูลทางทหารเรือมาตลอด โดยที่บิดาก็เป็นผู้บัญชาการทหารเรือในยุค ศตวรรษที่ 19 หรือแม้แต่ในสมัยสงครามกลางเมือง ตระกูลเพอร์รี่ อย่างเช่น โอลิเวอร์ แฮซาร์ด เพอร์รี ผู้ที่บัญชาการทัพเรือสหรัฐในยุทธการทะเลสาบอีรีจนชนะ และ แมตทิว แคลเบรท เพอร์รี ผู้บัญชาการเรือ ที่สามารถทำให้ญี่ปุ่นในสมัยนั้นที่ปิดประเทศอยู่เปิดประเทศได้

พวกเขาก็ล้วนแล้วแต่เป็นบรรพบุรุษของ แมกอาเธอร์ นับว่าตระกูลของเขาเป็นตระกูลใหญ่ และเกี่ยวข้องกับกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมาก แมกอาเธอร์ เกิดที่เมืองลิตเติล ร็อก รัฐอาร์คันซอ เข้ารับการศึกษาวิชาทหารที่โรงเรียนนายร้อยเวสพอยต์ เข้าเป็นทหารที่กรมทหารช่างเป็นครั้งแรก ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้เข้าสู่สมรภูมิที่ประเทศฝรั่งเศส และได้รับเหรียญกล้าหาญจำนวนมาก

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แมกอาร์เธอร์ได้เป็นผู้บัญชาการกองกำลังสหรัฐฯ ในตะวันออกไกลและได้ช่วงชิงพื้นที่มหาสมุทรแปซิฟิก ด้านตะวันตกเฉียงใต้จากประเทศญี่ปุ่น (พ.ศ. 2485-2488) โดยใช้ประเทศออสเตรเลียเป็นฐาน ถ้อยวลีที่มีชื่อเสียงที่แมกอาเธอร์กล่าวแก่ชาวฟิลิปปินส์ระหว่างถอยหนีกองทัพญี่ปุ่นในฟิลิปปินส์คือ "ข้าพเจ้าจะกลับมา" (I Shall Return)

และต่อมา เมื่อได้กลับมาตามคำสัญญาหลังการถอยไปตั้งหลักที่ออสเตรเลีย แมกอาเธอร์ได้ประกาศอีกครั้งในขณะที่เดินลุยน้ำลงจากเรือที่อ่าวเลย์เตว่า "ข้าพเจ้ากลับมาแล้ว" (I Have Returned) เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2487 ซึ่งถือเป็นภาพถ่ายข่าวสงครามที่ดีที่สุดภาพหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้

โดย พลเอกแมกอาร์เธอร์ ท่านได้ทำหน้าที่เป็นผู้รับการยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขเป็นทางการของญี่ปุ่น เนื่องจากเขามีเชื้อสายของ นาวาเอก(พิเศษ) แมททิว คราวเรท เพอรี่ ผู้ที่เคยบีบญี่ปุ่นให้เปิดประเทศเมื่อ พ.ศ. 2397 และดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการยึดครองประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ พ.ศ. 2488-2494 เป็นผู้จัดการให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของญี่ปุ่นที่กำหนดให้สมเด็จพระจักรพรรดิ์ฯ อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญและห้ามมีกองกำลังทหาร ทำให้ญี่ปุ่นมุ่งเน้นด้านเศรษฐกิจและฟื้นตัวได้เร็วขึ้นเนื่องจากไม่ต้องใช้งบประมาณและทรัพยากรเพื่อการป้องกันประเทศ

เมื่อ พ.ศ. 2493 แมกอาร์เธอร์ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองกำลังสหประชาชาติ (UN) ในสงครามเกาหลี โดยเกือบจะสามารถเอาชนะเกาหลีเหนือได้ แต่ท่านได้ถูกปลดออกจากหน้าที่เสียก่อน เนื่องด้วยการที่เตรียมจะบุกประเทศจีน และเรื่องการเสนอให้มีการใช้ระเบิดปรมาณูกับประเทศจีน ซึ่งถือว่าเป็นประเทศผู้สนับสนุนหลักของฝ่ายเกาหลีเหนือในสงครามเกาหลี ถือเป็นการพยายามฝ่าฝืนคำสั่งของประธานาธิบดีแฮร์รี เอส. ทรูแมน จึงถูกปลดออกจากตำแหน่งในที่สุด.


Chill-Chill ๛` บ า ง ที ก็ เ ล ว `๛


_BoAt

  • Newbie
  • *
    • กระทู้: 99



หน่วยรบปิศาจ"กูรข่า" ยาวหน่อยนะครับบ
สุดยอดอันตราย ไล่ล่า-ตามล้างศึกอัฟกัน ชื่อของหน่วยรบตะวันตก สำหรับปฏิบัติการภาคพื้นดินปรากฏเป็นระยะ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยซีล, แรงเยอร์, เดลต้า ฟอร์ซ ของสหรัฐ รวมถึงหน่วยเอสเอเอสของอังกฤษ
อย่างไรก็ตาม ศึกอัฟกันครั้งนี้ยังมีอีกหน่วยรบ ที่ถือเป็นสุดยอดหน่วยรบ มีประสิทธิภาพสูงสุด เป็นนักรบที่ถูกส่งไปในสมรภูมิสำคัญ ๆ หลายแห่ง แต่ไร้ซึ่งการจารึกฝีมือ หรือการกล่าวขานจากโลกตะวันตกเท่าที่ควร
ทหารหน่วยนี้เป็น "ทหารรับจ้าง" เป็นนักรบชาวเอเชียที่ได้รับการยอมรับในฝีมือ
"กูรข่า...หน่วยรบปีศาจ" คือนักรบนิรนามเหล่านี้
ฝีมือของกูรข่าสร้างความลือลั่นหลายครั้ง ทั้งสงครามฟอล์คแลนด์ ระหว่างอังกฤษกับอาร์เจนตินา, สงครามอ่าวเปอร์เซีย ฯลฯ ที่กูรข่าถูกส่งไปยังแนวหน้า เข้าไปทำลายข้าศึก ปัจจุบันกูรข่าเป็นหน่วยรบที่ถูกรัฐบาลอังกฤษว่าจ้าง และแม้แต่ราชวงศ์บรูไน ก็มีกองกำลังกูรข่าไว้คอยอารักขาเช่นกัน !!!
หากย้อนกลับไปในอดีต กองทหารกูรข่าหรือทหารเผ่าพื้นเมืองของประเทศเนปาล แสดงฝีมือตั้งแต่ครั้งยุคล่าอาณานิคม หลังจากอังกฤษยึดครองอินเดียได้แล้ว จึงตั้งบริษัท อีสต์ อินเดียฯ ขึ้นดูแลการค้า และผลประโยชน์ในอินเดีย เนปาล ต่อมาอังกฤษประกาศสงครามกับเนปาล กองทหารกูรข่าเข้าสู้รบกับอังกฤษอย่างเข้มแข็ง จนอังกฤษไม่สามารถทำอะไรได้เหมือนกัน ต่อมาทั้ง 2 ฝ่ายยุติสงคราม อังกฤษเองมีความประทับใจในการต่อสู้และคุณภาพของกองกำลังทหารกูรข่า ภายใต้สนธิสัญญาสันติภาพทหาร กูรข่าได้รับอนุญาตไปเป็นอาสาสมัครให้กับบริษัท อีสต์ อินเดียฯ และต่อมาได้ตั้งเป็น "กองกำลังกูรข่า"
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ทหารกูรข่าจำนวน 100,000 นาย ได้เข้าร่วมในกองพลกูรข่า โดยต่อสู้และเสียชีวิตในฝรั่งเศส เมโสโปเตเมีย เปอร์เซีย อียิปต์ กาลิโปลี่ ปาเลสไตน์ และซาโลนิก้า โดยได้รับ "เหรียญกล้าหาญ" เป็นรางวัลของชัยชนะ
ขณะที่ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 มีทหารกูรข่าจำนวน 40 กองพัน ทหารจำนวน 112,000 นาย ได้เข้าร่วมรบกับกองทัพอังกฤษและกองทัพประเทศในเครือจักรภพอังกฤษ ในซีเรีย ทะเลทรายตะวันตก อิตาลี และกรีซ จากมาเลเซียเหนือสู่สิงคโปร์ และจากพรมแดนไทยเข้าสู่พม่า ทะลวงเข้าไปในเมืองย่างกุ้ง ครั้งนั้น... ทหารกูรข่าได้เหรียญกล้าหาญ 10 เหรียญ
ภายหลังการแบ่งแยกดินแดนในอินเดีย ในปี พ.ศ. 2490 กองกำลังกูรข่าจำนวน 6 กองพลได้ตัดสินใจที่จะอยู่กับกองทัพอินเดีย ในขณะที่กองกำลังที่เหลือ ได้แก่ กองกำลังที่ 2 กองกำลังที่ 6 กองกำลังที่ 7 และกองกำลังที่ 10 ได้ถูกจัดตั้งขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพอังกฤษ ซึ่งได้กลายมาเป็นกองกำลังกูรข่าสมัยใหม่
ปี 2517 กองกำลังกูรข่าได้เข้าไปปฏิบัติการในไซปรัส เมื่อตุรกีได้รุกรานประเทศนี้ มีการปฏิบัติการในหมู่เกาะฟอล์คแลนด์ ในสงครามอ่าวเปอร์เซีย บอสเนีย ล่าสุดในโคโซโว
ทำไมนักรบ "กูรข่า" ถึงสร้างชื่อเสียงโด่งดังในทุกสมรภูมิ ??
ที่เป็นเช่นนี้เพราะนักรบกูรข่ามีวิญญาณของทหารอย่างเต็มเปี่ยม แม้จะมีรูปร่างเล็ก แต่เข้มแข็ง สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว รบได้อย่างยาวนานในสมรภูมิที่มีสภาพกันดาร ยากลำบาก ที่ราบสูง ป่า ภูเขา โดยจะแฝงตัวเข้าที่ตั้งของข้าศึกได้เหมือนกับเป็น "นักรบปีศาจ"
กองกำลังกูรข่านอกจากจะใช้อาวุธสมัยใหม่ในการสงครามทั่วไปแล้ว ทหารกูรข่าทุกนายจะมีมีดพกประจำตัว ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของกูรข่า เรียกว่ามีด "คุคูริ-Khukuri" ฝักของมีดทำด้วยผ้ากำมะหยี่ ซึ่งประดับประดาไปด้วยเงินแท้ที่เป็นลวดลาย ด้ามจับทำมาจากเขาควาย ตกแต่งอย่างหรูหรา ส่วนตัวมีดนั้นจะมีการสลักด้วยอักษรว่า "Sword-of-shiva" หรือ "ดาบของพระศิวะ"
ในการเปิดศึกของสหรัฐกับพันธมิตร อังกฤษส่งทหาร "กูรข่า" เข้าไปร่วมปฏิบัติการด้วย และสมรภูมินี้ทหาร "กูรข่า" จะพิสูจน์ฝีมือให้โลกได้ร่ำลืออีกครั้ง


Chill-Chill ๛` บ า ง ที ก็ เ ล ว `๛


_BoAt

  • Newbie
  • *
    • กระทู้: 99




คำถาม:
โซเวียต-ยูโกสลาเวีย เหตุใดเสือจึงไม่กินโค...

หลังจากสงครามโลกครั้งที่๒ได้สงบลง สหภาพโซเวียตภายใต้การนำของโจเซฟ สตาลิน ได้มีอิทธิพลอยู่เหนือประเทศต่างๆในยุโรปตะวันออกอันประกอบไปด้วย ลิธัวเนีย ลัทเวีย เอสโตเนีย ฟินแลนด์ บัลกาเรีย ยูโกสลาเวีย โรมาเนีย เช็คโกสโลวาเกีย โปแลนด์ ฮังการี่ และ เยอรมันตะวันออก

โซเวียตมักจะใช้กำลังทหารเข้าไปปราบไม่ว่าจะเป็นเยอรมันตะวันออก ฮังการี โปแลนด์ และ เช็คโกสโลวาเกีย แต่เหตุใดโซเวียตถึงไม่เคยใช้กำลังทหารกับยูโกสลาเวีย?

คำตอบ:
...ระหว่างสงครามโลกครั้งที่๒ กองกำลังร่วมของเยอรมัน-อิตาลี-ฮังการี บุกเข้ายึดยูโกสลาเวีย(และได้แยกโครเอเซียออกไปเป็นรัฐแยกจากยูโกสลาเวีย) แต่คอมมิวนิสต์ยูโกสลาเวียได้ต่อสู้กับกองกำลังของฝ่ายยึดครองมาโดยตลอดจนกระทังสงครามโลกครั้งที่๒ได้ยุติลง.. ทำให้ยูโกสลาเวียกอบกู้เอกราชมาได้โดยปราศจากความช่วยเหลือของโซเวียต.. แม้ว่าโซเวียตจะมีความเหี้ยมโหดในการครอบครองอำนาจของยุโรปตะวันออก แต่โซเวียตก็ให้เกียรติยูโกสลาเวีย...


Chill-Chill ๛` บ า ง ที ก็ เ ล ว `๛


_BoAt

  • Newbie
  • *
    • กระทู้: 99



ฝันดีครับ คืนนี้


Chill-Chill ๛` บ า ง ที ก็ เ ล ว `๛



_BoAt

  • Newbie
  • *
    • กระทู้: 99



***ยุทธวิธีการบแบบคลื่นมนุษย์***

......ยุทธวิธีการรบแบบคลื่นมนุษย์นี้ ไม่มีศาสตร์หรือแผนการอะไรซับซ้อน เป็นวิธีการง่ายๆ คือใช้กำลังพลบุกเข้าตี ยุทธวิธีการรบแบบนี้เป็นที่นิยมมากในช่วงต้นของยุคสงครามสมัยใหม่ ซึ่งอันที่จริงยุทธวิธีคลื่นมนุษย์มีมาแต่โบราณนานมาแล้ว

ที่เห็นใช้กันชัด ๆ ก็ที่ รัสเซีย ญืปุ่น จีน เกาหลีเหนือ เวียดนามเหนือ รวมถึงไทยในสงครามอินโดจีนที่ใช้กัน

วิธีการคือ ใช้กองกำลังทหารราบขนาดใหญ่ บุกดาหน้าเข้าหาข้าศึกจากทุกทิศทุกทาง เท่าที่จะทำได้ อย่างไม่กลัวตาย

ด้วยกำลังที่มีอย่างมาก จึงทำให้ข้าศึกไม่สามารถตั้งรับได้ทัน หรือได้ทั้งหมด

แต่มันก็เป็นยุทธวิธีที่สิ้นเปลืองกำลังพลอย่างมาก และด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป

การรบด้วยยุทธวิธีนี้แทบจะเป็นการนำกองกำลังไปตายเพียงเท่านั้น


Chill-Chill ๛` บ า ง ที ก็ เ ล ว `๛


_BoAt

  • Newbie
  • *
    • กระทู้: 99



(หลักฐานใหม่ไทยถูกจีนหลอก)"จิ้มก้อง" : อวสานบรรณาการไปจีนเพราะไทยถูกหลอก และ จีน..แพ้สงครามอ่าวตังเกี๋ย!!

... เป็นเวลานับพันปีที่จีนถือเอกสิทธิ์เปรียบตนเองเป็นศูนย์กลางของโลก และอุปโลกน์ว่าราชบัลลังก์จีนนั้นใหญ่โตเกินกว่าจะมีขอบเขตติดต่อกับใคร หากชาติใดต้องการติดต่อกับจีนก็ต้องอ่อนน้อมเข้ามาถวายเครื่องราชบรรณาการยอมเป็นเมืองของขึ้นจีนก่อนดังที่เรียกกันว่าจิ้มก้อง

... เงื่อนไขสำคัญที่จีนกำหนดให้ต่างชาติที่ต้องการติดต่อค้าขายกับจีนในระบบรัฐบรรณาการคือ การต้องยอมรับความเป็นใหญ่กว่าของจีน และทำตามข้อเรียกร้องของจีน สยามมิได้ขัดข้องต่อความประสงค์ของจีน เพราะจีนมิได้เคยเข้ามายุ่งเกี่ยวหรือก้าวก่ายกิจการภายในของสยามเลย

.. โดยจีนมองว่าสยามเป็นดินแดนล้าหลังตั้งอยู่ห่างไกล และมิได้มีประโยชน์อันใดต่อจีนมากนัก ที่สำคัญคือสยามได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในรูปแบบของการลงทุนทางการค้า สามารถแต่งสำเภาไปค้าขายและซื้อสินค้าจากจีนโดยได้รับการผ่อนปรนกฎระเบียบอันเข้มงวดและได้รับการยกเว้นภาษี

.. แต่พอขึ้นรัชกาลที่ ๔ สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปภายหลังการเข้ามาของชาติตะวันตก อังกฤษบีบคั้นให้จีนเปิดเสรีการค้า เมื่อจีนขัดขืนจึงต้องทำสงครามกับอังกฤษ (สงครามฝิ่น) เมื่อพ่ายแพ้อำนาจของจีนก็เริ่มเสื่อมทรามลง แต่รัชกาลที่ ๔ ก็ยังทรงยึดถือธรรมเนียมปฏิบัติที่จะส่งก้องไปจีนเช่นเคย และได้ทรงทำเป็นครั้งสุดท้ายในปี พ.ศ. ๒๓๙๗

.. ซึ่งต่อมาได้บ่ายเบี่ยงและงดการส่งก้องไปจีนโดยให้เหตุผลว่า

- การลงทุนแต่งสำเภาไปค้าขายที่เมืองจีนเริ่มไม่คุ้มทุน เพราะสยามเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบตะวันตก ภายหลังสนธิสัญญาเบาริ่ง พ.ศ. ๒๓๙๘ ส่งผลให้อภิสิทธิ์พิเศษที่ได้รับจากจีนหมดลงไป
- ทรงตระหนักว่าถูกขุนนางจีนตั้งตัวเป็นนายหน้าหลอกลวงคนไทยตลอดมา ด้วยการดัดแปลงพระราชสาส์น ข่มขู่ และใช้อุบายล่อลวงยุยงพระเจ้าแผ่นดินไทยให้หลงเชื่อ เป็นที่เสื่อมเสียพระเกียรติยศ จึงทรงออกประกาศระงับการไปจิ้มก้อง ในปี ๒๔๑๑

.. สมัยรัชกาลที่ ๕ นี้ จีนก็ทวงก้องเข้ามาอีกในปี ๒๔๒๗ บังเอิญในระยะนั้นจีนถูกฝรั่งเศสคุกคาม เพราะต้องการยึดแคว้นตังเกี๋ยไปจากจีน นำไปสู่สงครามตังเกี๋ย เมื่อจีนแพ้ทำให้ต้องยอมสละตังเกี๋ย (ญวน) ให้ฝรั่งเศส ต่อมาก็ต้องยอมยกเกาหลีให้ญี่ปุ่น ทำให้ฐานอำนาจของราชบัลลังก์จีนสั่นคลอนลงอย่างมาก สยามได้ทีจึงยกเลิกธรรมเนียมจิ้มก้องอย่างถาวรในรัชกาลที่ ๕

.. โดยข่าวของสงครามเล่าลือไปถึงยุโรป เป็นเหตุให้ราชทูตสยามประจำปารีส ติดตามข่าวการสู้รบในตังเกี๋ยอย่างใจจดใจจ่อ รายงานความคืบหน้าของสงครามมายังรัชกาลที่ ๕ เป็นระยะๆ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ อัครราชทูตในฐานะผู้สันทัดกรณีด้านการเมืองยุโรปมีภารกิจพิเศษในการถวายคำปรึกษา ต่อองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และหนึ่งในประเด็นร้อนที่ถูกหยิบยกขึ้นมาปรึกษาหารือก็คือ การที่จีนทวงก้องเข้ามาในปีนั้น

.. จากภาวะของสงครามซึ่งจีนเป็นฝ่ายเพลี่ยงล้ำหลายครั้ง เป็นแรงจูงใจให้รัฐบาลสยามเชื่อว่าจีนคงพ่ายแพ้ต่อฝรั่งเศสในไม่ช้า และสิ่งที่จะติดตามมาคือ ฐานอำนาจของจีนก็จะมีอันล่มสลายลงไปด้วย สยามซึ่งตกเป็นน้ำใต้ศอกของจีนตลอดมาก็จะลืมตาอ้าปากได้เต็มที่ โดยไม่ต้องเกรงใจจีนอีกต่อไป...
- - - - - - - - - - - - - - - - - -

{ข้อมูลระหว่างบรรทัดของพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ต่อไปนี้ บ่งบอกช่องทางที่สยามจะได้ยกเลิกธรรมเนียมจิ้มก้องกับจีนเป็นการถาวร ช่วยให้เรามองเห็นมิติอื่นๆ ที่เราไม่เห็นมาก่อน} เริ่มจาก ..

- (ฉบับที่ ๑)
... “เรื่องจีนทวงก้องนั้น เหนด้วยเกล้าฯ ตามพระราชดำริห์ทุกประการ เปนเพราะพวกวอปาร์ตีมีอำนาจเป นเสนาบดีขึ้นอีก จึ่งคิดที่จะทำการเบียดเบียนไทย แลที่ได้จัดแจ้งทำสัญญาสิ้นวิวาทกับฝรั่งเศสแล้วนั้น ตรวจดูตามการที่ได้เกิดขึ้นภายหลัง ก็เห็นด้วยเกล้าฯ ว่าจีนมิได้คิดที่จะทำการให้เรียบร้อยต่อฝรั่งเศสจริง พวกที่เหนทางตรงทางจริงก็มี พวกที่ยังเหนควรโกงเพื่อเวลามีช่องมีโอกาสก็มี

... การที่จีนได้ล้างหนังสือสัญญาฝรั่งเสศจนถึงกับได้รบด้วยฆ่าทหารฝรั่งเสศเสียเปนหลายคนครั้งนี้ก็เปนพระบารมีของพระบาทสมเดจพระเจ้าอยู่หัวที่ จะได้มีฝรั่งเสศทำลายล้างจีนซึ่งคิดเบียดเบียนพระราชอาณาเขตร จึ่งได้เกิดวุ่นวายขึ้นกับฝรั่งเสศอีก ภอได้มีเวลาตระเตรียมป้องกันพระราชอาณาเขตรให้เปนที่พ้นภัยภายนอกได้ ข้าพระพุทธเจ้ามีความยินดียิ่งนัก ซึ่งบังเกิดการรบพุ่งกันขึ้นอีก เพราะสัตรูของเราทั้งสองฝ่าย จะต้องประหัตประหารกันเอง ภอไทยได้มีเวลาจัดแจงรักษาบ้านเมือง และตริตรองการที่คิดจัดคิดทำเพื่อป้องกันสัตรูทั้งสองได้

... บัดนี้ฝรั่งเสศกำลังโกรธจีนมาก คิดตกลงกันให้ราชทูตฝรั่งเศสเอาเรือรบทั้งสควาดรันหนึ่ง ไปเรียกเงินค่าปรับไหมสิบล้านปอนด์ กับให้รับสารภาพโ ทษขอสมาด้วย ถ้าจีนไม่ยอมให้แล้วจะเอเมืองโฟโมซาเปนจำนำ กว่าจะได้เงินแลรับสมาจึงจะคืนให้

... ฝ่ายจีนก็ยังกางร่มอยู่ว่าไม่ผิด เถียงว่าสัญญาที่ว่าจะเลิกกองทัพจีนไปจากประเทศตองกวินนั้น เปนสัญญาเพื่อได้ทำสนธิสัญญาเลอียดเปนแน่นอนต่อไปเท่านั้น เพราะเดี๋ยวนี้ยังไม่ได้กำหนดเขตรแดนว่าอยู่เพียงไหน ที่จะเลิกทหารไปจากเมืองตองกวินในทันใดนั้น ต้องเข้าใจว่าต้องอาไศรยคว ามที่จะได้ทำสัญญาใหม่ต่อไปก่อน แลหวังเอาว่าสั่งทหารจีนให้รบจริง เพราะถือเอาว่าเปนการทำถูกที่จะต้องรักษาเมืองแลงสันไว้ ทั้งฟาเรนออฟฟิชเมืองจีน ก็เถียงดื้อเอาด้วยว่าที่ลีฮุงชวง ยอมทำสัญญากันกับท้าเฟอร์เมียซ์ ยอมเลิกทหารออกจากเมืองแลงสัน แชตกี เกาแผง แลเมืองโลไกย ในระหว่างวันที่ ๖ แลที่ ๒๖ เดือนยูน ยอมยกเมืองเหล่านั้นให้อยู่ในป้องกันของฝรั่งเสศนั้น ไม่ยอมรับได้ตามนั้น

... ฝ่ายหนังสือพิมพ์ทั้งปวง ไม่ว่าชาติใดก็ติเตียนจีนที่ประพฤติดังนี้ทั้งนั้น พูดเข้าข้างฝรั่งเสศเสียโดยมาก ลางฉบับก็ถือเอาว่า การรบพุ่งต่อชาติตวันออกนั้น ทิศตะวันตกต้องเข้ากันทั้งนั้น ด้วยชาติตวันออกเปนสัตรูของชาติตวันตก การเปนดังนี้ ฝรั่งเสศจึงมีโอกาสที่จะไปรบจีนได้สบาย ถึงจะทำให้การค้าขายของต่างประเทศในเมืองท่าเรือจีน ที่สัญญาเปิดให้ค้าขาย ฝรั่งเสศก็ไม่กล้าที่จะต้องใช้เงินค่าขาดทุน แลค่าปรับไหม ด้วยไปรบเมืองนั้นๆ ใ ห้เสียหายไป เพราะฝรั่งเสศต้องใช้เท่าใด ก็ไปเอากับจีนได้อีก ๑๐ เท่า ต่างประเทศก็คงลงโทษเอาจีนท่าเดียว

... แลการนี้ยังจะนานอยู่กว่าจะได้ตัดสินเด็ดขาดกันลง ถ้าจีนไม่ยอมเสียค่าปรับไหม ฝรั่งเสศก็คงต้องไปรบ ก็คงจะต้องช้ากันไปเหมือนกัน แลการเรื่องนี้ แลการปราบปรามเมืองตองกวินให้เรียบร้อยนั้น คงจะยังกระโตงกระเตงกันอยู่ช้านาน ข้าพระพุทธเจ้าจึ่งมีความอิ่มใจในพระบรมราชดำริห์ที่จะคิดจดการกับพระราชอาณาเขตร ด้วยเวลานี้เปนเคราะห์ดีที่จะมีช่องทางจะตระเตรียมตัวได้

... ถ้าไทยจัดการรักษาบ้านเมืองให้แขงแรงดีแล้ว เรื่องจีนทวงก้องไม่ต้องวิตกเลย จีนไม่มีอำนาจภอที่จะไปรบเมืองอื่นในเวลานี้เปนแน่ แลที่ฝรั่งเสศจะยุแหย่ให้จีนทวงก้องนั้น ก็ยังไม่มีช่องที่จะคบคิดกับจีนได้ ด้วยกำลังวิวาทกันอยู่ จีนยังไม่นับถือฝรั่งเสศว่าเปนอำนาจใหญ่ ข่มขี่ประเทศตะวันออกได้ คงจะยังคิดเอาเมืองไทยเปนเมืองขึ้นจีนเองอยู่เสมอ ไม่คิดทำช่องให้ฝรั่งเสศเอาเมืองไทยเปนแน่

... เรื่องก้องนี้ ข้าพระพุทธเจ้าเหนด้วยเกล้าฯ ไม่ควรยอมเปนอันขาดทีเดียว ควรคิดสู้จนเตมกำลังแลเหนด้วยเกล้าฯ ว่าสู้จีนได้เปนแน่ ด้วยจีนจะต้องมารบในเมืองเรา

... เวลานี้บ้านเมืองไทยยังเรียบร้อยอยู่ มีโอกาสที่จะตระเตรียมซื้อหาเครื่องสาตราวุธได้ด้วย ถ้ามีทัพศึกฤๅที่จะต้องรบพุ่งขึ้นเวลาใดแล้ว จะซื้อหาสิ่งใดไม่ได้แน่ ด้วยต่างประเทศไม่ยอมขายให้เหมือนเว ลานี้ จีนได้สั่งเรือรบเมืองเยอรมัน ก่อนมีศึกเทเลาะด้วยฝรั่งเสศนานแล้ว ครั้นมีศึกขึ้น เรือแล้วๆ เยอรมันก็ไม่ยอมให้เอาไปใช้ เพราะฉะนั้นข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯว่าสิงใดที่เหนว่าควรต้องการใช้เวลาทัพศึกแล้วต้องเตรียมเสียให้พร้อม ก่อนเวลามีทัพศึกขึ้นจึงจะหาได้”...

** หมายเหตุ
๑. ประเทศตองกวิน คือแคว้น Tonkin หรือ แคว้นตังเกี๋ย ที่ฝรั่งเศสต้องการแย่งเอาไปจากจีน
๒. เมืองโฟโมซา หรือเกาะ Formosa ก็คือเกาะไต้หวัน ที่ฝรั่งเศสต้องการยึดเอาไปจากจีน
๓. พระองค์เจ้าปฤษฎางค์เห็นพ้องตามพระราชดำริของรัชกาลที่ ๕ ที่จะแข็งข้อต่อจีน เพราะกำลังเพลี่ยงพล้ำต่อฝรั่งเศส ส่งผลให้อำนาจของจีนเสื่อมลง
๔. สาส์นจากพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ฉบับนี้ถวายเข้ามายังรัชกาลที่ ๔ จากปารีส ลงวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๘๘๔

-- และ - (ฉบับที่ ๒)
... "กราบทูล กรมหมื่นเทวะวงษ์ฯ" : ด้วยข้าพระพุทธเจ้าได้รับพระราชทานลายพระหัถของฝ่าลอองพระบาท ซึ่งลงวัน ๖ ฯ๑๒ ๗ ค่ำแล้ว แต่ ณ วัน ๒ ฯ๖ ๙ ค่ำ แลลายพระหัถซึ่งลงวัน ๖ ฯ ๕ ๘ ค่ำ นั้น ได้รับพระราชทานแล้ว แต่ ณ วัน ๕ ฯ๙ ๙ ได้ทราบเกล้าฯทุกประการแล้ว พระเดชพระคุณหาที่สุดมิได้
... ลายพระหัถฉบับซึ่งว่าด้วยจีนทวงก้องนั้น ข้าพระพุทธเจ้าได้คัดสำเนาถวายไปในพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นนเรศวรฤทธิให้ทรงทราบ ในทันใดตามซึ่งข้าพระพุทธเจ้าได้นำมาทุกฉบับแล้ว
... ข้าพระพุทธเจ้ามีความยินดีเปนล้นเกล้าฯ ที่ได้ทราบเกล้าฯ เรื่องจีนทวงก้องว่าเปนการไม่หนักหนา เปนที่เข้าใจไปเรื่องหนึ่งแต่การที่ได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดการป้องกันเรื่องจีน ที่ทำให้มีเหตุก่อการป้องกันขึ้นนั้น คิดมากว่าเวลานี้จะไม่เปนที่หวาดหวั่นภอที่จะต้องถึงจัดการป้องกันแขงแรงก็ดีที่ได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดแล้วแลจะคิดจัดอีกต่อไป แลสร้างสมเครื่องสาตราวุธไว้ให้พร้อมดีนั้น เปนการระวังไม่ประมาทต่อสัตรู เปนที่เชิดชูพระเกียรติยศ ให้นาๆ ประเทศเหนได้ว่า เราก็พร้อมเพรียงอยู่เสมอ

...ปฤษฎางค์
...๒๕ กรกฎาคม ๑๘๘๔

____________________________________________
และ หลังจากนั้นก็ไม่ปรากฏว่าจีนทวงก้องมาอีกเลย พอถึง พ.ศ. ๒๔๕๔ ราชวงศ์ชิงก็สูญเสียอำนาจที่เคยมีทั้งหมด เกิดการปฏิวัติทางการเมืองภายในจีน ทำให้การปกครองในระบอบจักรวรรดิที่เก่าแก่กว่า ๒,๐๐๐ ปี ต้องสิ้นสุดลงพร้อมกับระบบรัฐบรรณาการที่ปักกิ่งเคยเป็นศูนย์กลางของโลกก็มาถึงกาลอวสานโดยสิ้นเชิง
** อ้างอิง : (คัดย่อจาก หนังสือ...ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๓๓ ฉบับที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๕ หน้า ๙๔-๑๑๘.)***


Chill-Chill ๛` บ า ง ที ก็ เ ล ว `๛