"มีบริษัทผลิตขนมแห่งหนึ่ง ผลิตอมยิ้มออกมาขาย เราก็ไปซื้อมา
เรามีอมยิ้มอยู่ในมือ เราดูด เราอมแล้วมันอร่อย มีความสุขกับมัน
แต่พอวันหนึ่งมีไอติมออกมาใหม่ ซึ่งไอติมได้รับความนิยมมาก
เราควรทิ้งอมยิ้มที่มีอยู่ หรือควรเอาอมยิ้มที่เราทั้งดูด ทั้งอมแล้ว ไปขายต่อเหรอ???
ซึ้งมีโอกาสแค่ 20%เองมั้ง ที่จะขายออก เพราะคงไปสู้ไอติมที่กำลังHOT!!!ไม่ได้
เราเข้าใจว่าที่คนออกมาเรียกร้อง เพราะเขารักในรสชาติ ชื่นชอบรูปลักษณ์ของอมยิ้มที่เขามีอยู่
จึงมาเรียกร้องต่อผู้ผลิตขนมว่า
"คุณควรทำอมยิ้มและไอติมให้ออกมาเท่าเทียมกัน
ทั้งรสชาติ ปริมาณ คุณภาพ และราคา"
ผู้ผลิตที่ฉลาดเขาก็ึคงต้องผลิตขายทั้ง 2 อย่าง พัฒนาให้มันขายคู่กันได้
ไม่ใช่ทิ้งอย่างได้อย่างใด หรือให้กระแสความนิยมลูกอมเลือนหายไปจนเลิกผลิต
โดยคิดว่า "ถ้าคุณไม่ชอบ คุณก็เลิกกินไปสิ ในเมื่อไอติมที่ผมผลิตมาใหม่มันก็ขายได้"
เข้าใจที่พยายามอธิบายในสิ่งที่แข่งขันเชิงธุรกิจที่เราสามารถเลือกจะบริโภคได้ด้วยเงินเราเอง มันย่อมไม่เกิดความเท่าเทียมในเชิงธุรกิจการผลิต ทั้งในด้านวัตถุเดิบ การโฆษณา ฯลฯ เพื่อเรียกร้องคนซื้อ
แต่ถ้าลูกอมที่คุณกินมันไม่อร่อยอย่างอีกบริษัทหนึ่ง คุณจะดันทุรังกินต่อก็เป็นเรื่องความชอบส่วนบุคคล ซึ่งหากไม่ออกมาโวยวายว่าลูกอมยี่ห้อฉันทำไมไม่อร่อยเหมือนลูกอมอื่น ซึ่งก็ถามมันว่า แล้วทำไมไม่ไปกินยี่ห้อนั้นซะ มาบ่นทำหอกอะไร ก็แค่นั้น จะหาเรื่องให้มันมากทำไม อย่างกับเด็กอมมือที่ร้องไห้ขีมูกโป่งเลย
และอย่าลืมว่า มันเป็นลูกอม 2 รสชาติที่มาจากบริษัทเดียวกัน หากรสชาติเหมือนกัน ไม่มีความแตกต่างอย่างที่คุณว่า จะเจาะกลุ่มลูกค้าได้ครบทุกกลุ่มเป้าหมายหรือไม่
หรือมันควรเป็น 2 รสชาติที่เห็นความแตกต่างชัดเจน ที่คุณเป็นคนเลือกจะกินเอง และรับผิดชอบในสิ่งที่คุณเลือกด้วยตัวเอง