ตอนที่ 10 ตลาดอลวน
เทย์มองดูคทาสีทองในมืออย่างพอใจ น้ำหนักของมันไม่หนักมากกำลังเหมาะมือทีเดียว ผลึกสีฟ้าใสส่องประกายจ้าเมื่อแรกที่เธอสัมผัส ท่านแฮซัสบอกว่ามันจะเป็นของเธอ
ผู้เดียว คนอื่นใช้ได้แต่...จะใช้พลังได้ไม่เต็มที่ เพราะทั้งเลือดและแกนกลางนั้นเป็นของที่เธอเท่านั้นที่ใช้ได้...แล้วใครเป็นคนเขียนอักขระเธอก็ไม่รู้อยู่ดี...แฮซัสไม่ยอม
บอก...
ท่านอากล่าวไว้ว่า คทาไม่ใช่จุดที่ทำให้พวกเรามีพลัง มันเป็นเพียงส่วนเสริมให้เราสามารถใช้พลังได้ง่ายขึ้น ถึงแม้จะไม่มีคทาเราก็ยังสามารถใช้พลังได้ เช่นเดียวกับดาบ
แม้เราจะไม่มีดาบ แต่เรายังคงมีแขนมีขาใช้ต่อสู้กับศัตรูได้
ดังนั้น บรรดาเหล่าศาสตราจารย์ผู้เก่งกาจจึงมักไม่พกคทาไปด้วย เพราะก่อนที่เราจะใช้คทาได้ เราต้องมอบพลังส่วนหนึ่งให้แก่มันเสียก่อน...
เมื่อเทย์ได้คทามา เธอจึงจัดการถ่ายพลังของเธอลงไปในคทาเช่นเดียวกับการถ่ายพลังลงในเบสหรือลูกแก้วสารพัดนึกที่เธอเรียก บางทีเธอยังนึกสงสัยอยู่เลยว่า หากทุกสิ่ง
ที่เกี่ยวข้องต้องถ่ายพลังลงไปเช่นนี้เสียทุกสิ่ง พลังที่มีของเธอจะหมดลงหรือไม่ แต่เมื่อเธอถามท่านอา เขากลับหัวเราะแล้วตอบกลับเธอว่า...
“พลังโนนเวลที่เราถ่ายลงไปในของแต่ละสิ่ง ก็เหมือนกับการตักน้ำจากลำธารไปสู่ภาชนะหนึ่ง น้ำจากลำธารอาจจะลดลงแต่มันจะเพิ่มขึ้นจนเต็มดังเดิมเพราะตาน้ำยังอยู่
เช่นเดียวกับพวกเรา ตราบใดที่จิตเรายังอยู่ ใจเรายังเต้น พลังของเราย่อมกลับคืนเช่นเดิมในไม่ช้า”
...กว่าที่คทานี้จะสำเร็จก็สว่าง เทย์จึงไม่แปลกใจเลยที่ได้เห็นเด็กหนุ่มผมแดงนั่งหลับอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม...
“เจ้าชายเชสก้า...เจ้าชายเชสก้า” เด็กสาวเรียกเบา เจ้าชายหนุ่มงัวเงียลืมตาขึ้น มองซ้าย มองขวา
“เทย์ น้องสาวเจ้าล่ะ”
“น้องข้า?” เทย์แสร้งทำสีหน้าสงสัย แต่ก็ก้าวไปนั่งเก้าอี้ที่เธอนั่งเมื่อคืนก่อนจะหยิบแก้วน้ำหวานสีส้มที่เธอทำให้มันเย็นขึ้นจนเกล็ดน้ำแข็งเกาะกระจายทั้งแก้วจนไอเย็น
กระจายออกมาขึ้นดื่ม
“เจ้าถามถึงน้องข้าทำไม? เจ้าทำนางถึงขนาดนั้น นางคงอยู่รอเจ้าตื่นแล้วทำร้ายนางอีกกระมัง” เทย์แกล้งพูดเสียงเย็น
“ข้า...”
“นางกลับบ้านไปแล้ว” เทย์บอกในที่สุด
“ข้าติดหนี้นางไว้ 200 ซัน ไว้ข้าจะคืนให้กับเจ้าก็แล้วกัน” เด็กหนุ่มบอกทั้งยังมีสีหน้าว้าวุ่นใจ
“ไม่เป็นไร ไว้เจ้าคืนให้กับนางเองก็แล้วกัน”
“ท่านแฮซัส ท่านซีเรีย ข้าขอขอบคุณท่านทั้งสองมาก” เทย์หันไปขอบคุณคนทั้งคู่ เมื่อเห็นทั้งคู่เดินเข้ามา
“ท่านเทย์ นี่คือเงินของเจ้าหนุ่มนี่ เขาเป็นสหายของท่าน ท่านรับคืนไปเถอะ” แฮซัสยื่นเงินคืนให้
“ข้าว่าท่านเก็บไว้ดีกว่า แล้วนี่... 2,000 ซัน...สำหรับคทาของข้า” เด็กสาวยื่นเงินคืนกลับไป
“ข้ารับไม่ได้...” คนแคระบอก
“ท่านรับไปเถิด...ถือว่าข้าขอร้อง” แฮซัสจำใจรับไว้
“ก็ได้...ข้าจะรับไว้ มีอะไรท่านสามารถมาหาข้าได้ทันที ข้าจะทำให้โดยไม่เกี่ยงงอน”
เด็กหนุ่มผมแดงก็ได้แต่มองภาพตรงหน้าอย่างสงสัย
คนบนถนนวันนี้ก็มีเยอะไม่แพ้วันวาน ผู้คนต่างออกมาจับจ่ายซื้อของ โดยเฉพาะนักเรียนโรงเรียนจอมเวทย์แคนเดิ้ลไชล์ที่วันพรุ่งนี้จะเป็นวันปฐมนิเทศของเด็กปี 1
หลายๆ คนจึงออกมาซื้อของใช้ เสื้อผ้า และหนังสือ เทย์จึงไม่แปลกใจเลยที่ร้านค้าหลายๆ ร้านต่างพากันลดราคาเพื่อเรียกลูกค้า หรือแม้แต่หาสิ่งดึงดูด เช่น กระเป๋าลอย
ได้ เสื้อวิเศษที่ไม่ต้องซักเป็นเดือนๆ ก็ไม่เปื้อน ไม่มีกลิ่นเหม็น หรือแม้แต่กระจกสื่อสารที่ราคาสูงริบ สินค้าสำคัญของแฟร์แลนเทียร์ ที่ท่านอาให้เธอไว้หนึ่งชิ้นสำหรับการ
ติดต่อเรื่องสำคัญๆ หรือฉุกเฉิน...
เทย์เดินวนมองร้านนั้นทีร้านนี้ทีอย่างไม่รู้ว่าจะเข้าร้านไหน...จึงหันไปมองสาวชุดแดงที่ออกมาเดินเป็นเพื่อน หลังจากที่เจ้าชายเชสก้าแยกตัวกลับไปโรงแรม
“ร้านไหนดีล่ะอคีนียา ข้าเลือกไม่ถูก” เทย์มองร้านต่างๆ จนตาลาย
“ร้านที่คนเยอะๆ สิท่าน แสดงว่าของเขาดี”
“ข้าว่า...ราคาถูกด้วยมั่ง” เทย์ยิ้มๆ แล้วเลือกเดินไปร้านเสื้อผ้าที่มีคนเยอะที่สุด แต่สุดท้ายก็ต้องตัดใจ ด้วยแย่งพูดกับคนอื่นไม่ทัน
“ไปร้านนั้นกันดีกว่า คนน้อยดี” เทย์หันไปหาร้านที่คนน้อยกว่าที่อยู่ห่างจากร้านเดิมไปสัก 10 เมตร
“พี่สาวครับ ขอชุดนักเรียนโรงเรียนจอมเวทย์แคนเดิ้ลไชล์ ปี 1 สัก 5 ชุด ครับ” เทย์รีบบอกกับเจ้าของร้านทันทีที่ปลอดคน
“ไซส์ไหนจ๊ะ ไหนขอพี่ดูหน่อย เอาเป็น...S...ก็แล้วกัน 5 ชุดนะ” พี่สาวผมน้ำตาลคลี่ยิ้มกว้างก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน
“อ้าว! เทย์ มาซื้อชุดหรอ?” อีลน่าลากเพื่อนสาวเข้ามาถาม
แขนทั้งสองข้างของทั้งคู่เต็มไปด้วยข้าวของมากมาย โดยเฉพาะของอีลน่าที่ดูท่าจะถือไม่ไหวเสียแล้ว
“อ่ะ...ใช่ อีลน่า ไอรีน มาซื้อเหมือนกันหรอ? ให้ข้าช่วยไหมดูท่าว่าเจ้าจะถือไม่ไหวแล้วนะ” อีลน่ามองของในมือตัวเองก่อนจะยื่นให้เทย์ที่มีเพียงคทาเหน็บเอวไว้เท่านั้น
“แล้วนั่นใครอ่ะ น่ารักจัง” อีลน่าถามต่อพยักพเยิดไปทางสาวผมทองที่ยื่นมือมาแย่งของในมือเทย์ถือเกินครึ่ง ทั้งๆ ที่หนุ่ม(?)ใส่แว่นกล่าวว่าไม่ต้องก็ตาม
“อ๋อ...อคีนียา นี่เพื่อนของข้า อีลน่ากับไอรีน”
“ลืมแนะนำข้าหรือเปล่า...เทย์” เสียงห้าวๆ ดังขึ้น
“อ้าว...เจ้าก็มาด้วยหรือบลูมเมอร์” บลูมเมอร์ไม่ตอบแต่พยักพเยิดไปทางวิหกสาวที่ยืนยิ้มอยู่ตลอดเวลา
“นี่...อคีนียา...เพื่อนของข้า”
“ยินดีที่ได้รู้จักเพื่อนของท่านเทย์ค่ะ” อคีนียาพูดอย่างนอบน้อม
“อคีนียา...เฮ้อ...สงสัยข้าจะเปลี่ยนให้เจ้าเรียกข้าว่า เทย์ เฉยๆ ไม่ได้จริงๆ”
“แหม! เรียกท่านเทย์เลยหรอ เป็นเจ้าใหญ่นายโตมาจากไหนล่ะจ๊ะ” อีลน่าคนเดิมพูดขึ้น
“นั่นนะสิ...ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” แล้วทั้งหมดก็หัวเราะพร้อมกัน
“ได้แล้วจ๊ะ ทั้งหมด 1,250 ซัน จ๊ะ” เทย์กลืนน้ำลายกับราคาแต่ก็บอกให้อคีนียาหยิบเงินออกจ่าย ขนาดถุงของเงินที่อคีนียาหยิบออกมานั้นทำให้อีลน่าตาโต
“นี่เจ้าพกเงินมากขนาดนี้เลยหรอ ไม่กลัวโดนปล้นหรือไง แล้วนี่ยังให้ผู้หญิงถืออีก”
“ให้อคีนียาถือนะดีแล้ว รับรองปลอดภัยยิ่งกว่าอยู่ในมือข้าเสียอีก” เจ้าของเงินหันไปมองคนถืออย่างมั่นใจ
“แล้วพวกเจ้าไม่ซื้อชุดกันหรอ?”
“พวกเราซื้อกันมาแล้วน่ะ นี่ว่าจะไปซึ้อหนังสือ ไปด้วยกันไหมค่ะ” ไอรีนเป็นคนตอบ
“นี่ไอรีนมาด้วยหรอ ข้าเพิ่งได้ยินเสียง” เทย์แหย่เพื่อนสาวทำเอาเธอหน้าแดง
“ไปสิ ข้าไปด้วย...ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องถนนหนทางนักหรอก ที่เดินมาถึงนี่ได้ก็โชคช่วยมากแล้ว”
ทั้งห้าคนเดินซื้อของด้วยกันจนตะวันตรงหัวจึงได้รู้สึกว่ากระเพาะที่ว่างเปล่ามันช่างประท้วงได้รุนแรงเสียเหลือเกิน ดังนั้นร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆ จึงได้ต้อนรับเด็กจากโรงเรียน
จอมเวทย์แคนเดิ้ลไชล์ทั้งสี่กับวิหกสาว
“พวกเจ้าสั่งอาหารเผื่อข้าด้วยแล้วกัน ข้าไม่ค่อยถนัดเรื่องสั่งอาหารนักและก็ขอผลไม้สักถาดให้อคีนียาด้วยนะ อคีนียาไม่กินเนื้อ” ด้วยรู้ว่าตนเองไม่รู้จักชื่ออาหารของที่นี่จึง
ได้ผลักภาระไปยังเพื่อนๆ ทั้งหลาย
ตอนอยู่ในวังใครยกอาหารอะไรมาให้กินก็กิน รู้ชื่อบ้าง ไม่รู้ชื่อบ้าง อันที่เธอรู้ชื่อก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยชื่อออกมา ด้วยรู้ดีว่า ไอ้อาหารในวังนั้นมันคงตั้งชื่อเสียเลิศหรูจนชาวบ้าน
ไม่เคยได้ยินแน่ๆ จะบอกชื่ออาหารบ้านป่าที่เคยอยู่กับท่านยายที่ชุมเบต้า ก็เกรงว่าจะไม่มีใครรู้จักเสียอีก...สงสัยว่าจะต้องลองศึกษาเรื่องราวเหล่านี้บ้างเสียแล้ว
“เจ้าไม่กินเนื้อหรอ? แปลกดีนะ...ว่าแต่ทำไมเทย์ถึงได้รู้ดีจังน้า” อีลน่าเจ้าเก่าถามโดยลากเสียงท้ายยาว และจ้องหน้าทั้งคู่อย่างอยากรู้
“อคีนียาเจ้าเรียนที่ไหนล่ะ...ที่โรงเรียนจอมเวทย์แคนเดิ้ลไชล์หรือเปล่า แต่ข้าไม่เห็นเจ้าซื้อของอะไรเลยนะ ข้าเห็นแต่ช่วยอีตาเทย์นี่ถืออยู่ได้ มันไม่ให้เจ้าได้รับการศึกษา
เลยหรือไง เป็นแฟนภาษาอะไรว่ะ” คำถามเป็นชุดกับไอ้ประโยคสุดท้ายของบลูมเมอร์ตัวแสบเล่นเอาเทย์สำลักน้ำชาที่กำลังจะลงคอ
“ไอ้บ้าบลูมเมอร์! พูดอะไรว่ะ แฟนบ้าแฟนบออะไรของแก อคีนียาเขาจะเป็นแฟนข้าได้ไงก็เขา...ก็เขา...”
“เขาอะไร?” เทย์เกาหัวยิกๆ ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไรดี
“เอาหูมาบลูมเมอร์” เทย์กระซิบกระซาบ
“เฮ้ย! จริงอ่ะ...ขอโทษคร้าบ” สองสาวมองอย่างสงสัย บลูมเมอร์จึงเรียกสองสาวมากระซิบบอก
“หา! ไม่ใช่คน” อีลน่าตะโกนซะดังลั่นร้านทำเอาบลูมเมอร์ปิดปากแทบไม่ทัน
“แล้วเป็นอะไรอ่ะ” อีลน่าถามอย่างหวาดๆ
“อคีนียาเจ้าตอบพวกนี้เองก็แล้วกันว่าเจ้าเป็นอะไร” เทย์บอกปัด
“ข้าคือวิหกจากแดนภูเขาอัคคี ที่รู้จักกันในนามของ ฟิกค์”
“นะ...นกที่เคยเผาคนที่พยายามจับตายมาเป็นร้อยเป็นพันแล้วนะหรอ?” บลูมเมอร์เองก็ชักจะแหยๆ
เมื่ออาหารมาถึงทั้งหมดเลยนั่งทานกันอย่างเงียบเชียบ สายตาทั้งสามจ้องมองเทย์สลับกับอคีนียาไปมาจนเทย์รู้สึกอึดอัด
“ถ้าพวกเจ้าลำบากใจมากนัก ข้ากับอคีนียากลับไปก่อนก็ได้นะ” เด็กหนุ่มกำมะลอลุกพรวดขึ้นทันที และคงจะจากไปแล้วหากบลูมเมอร์ไม่รีบลุกมาขวางไว้
“พวกเราแค่ยังตกใจและแปลกใจอยู่เท่านั้นเอง” หนุ่มผมน้ำเงินกล่าวก่อนจะดึงให้เทย์นั่งลงตามเดิม
“พวกเรารู้มาว่า ฟิกค์เป็นสัตว์ที่อันตราย พวกมัน...เอ่อ ตระกูลของอคีนียาเคยมีมากดินแดนแฟร์แลนเทียร์และเป็นมิตร แต่พวกเราก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น อยู่ๆ ฟิกค์ก็ลด
จำนวนลงเรื่อยๆ จนราวๆ 500 ปีก่อน...” อีลน่าเริ่ม
“หลายๆ คนยืนยันว่า มีฟิกค์เหลือเพียงตัวเดียว...”
“ซึ่งต่อมา ตระกูลแอนเออร์เนสได้ออกมากล่าวว่า พวกฟิกค์ได้สูญพันธุ์ลงไปแล้ว ทั้งยังกล่าวอีกว่า ฟิกค์เป็นตราประจำตระกูลแอนเออร์เนสและจะเป็นดั่งสัตว์เทพผู้คุ้มครอง
ผู้นำตระกูลหรือราชาแห่งแสงสว่างจากรุ่นสู่รุ่น” บลูมเมอร์ให้ข้อมูลเชิงลึกต่อไปอีก
“และการที่เจ้าบอกว่าอคีนียาเป็นฟิกค์ นั่นก็ย่อมหมายถึงเจ้าคือราชาคนต่อไปของแฟร์แลนเทียร์” บลูมเมอร์ยืนยันหนักแน่น เทย์ถึงกับหน้าซีดด้วยไม่นึกว่าการบอกว่า
นกสาวเป็นใครจะเป็นการเปิดเผยอะไรได้มากมายขนาดนี้ เรื่องที่พวกนี้บอกเป็นสิ่งที่ไม่มีในตำราที่เธอได้อ่าน หรืออาจเป็นเพราะเธอยังอ่านไม่ครบก็เป็นได้ ตอนนี้เธอจำเป็น
ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน
“นะ นะ นี่พวกเจ้าเชื่อจริงๆ หรือว่าอคีนียาเป็นฟิกค์” เทย์แสร้งหัวเราะราวกับเป็นเรื่องขันเสียเต็มประดา
เพื่อนๆ ต่างทำหน้างงและสงสัย
“อคีนียาไม่ใช่ฟิกค์หรอก อคีนียาคือนกแก้วสีขาวที่เผลอได้รับพลังเข้าไปต่างหาก”
...ช่วยหน่อยนะอคีนียา...
...ค่ะ...
นกสาวรับคำก่อนจะลุกแล้วเดินไปยังที่ลับตาผู้คน เด็กอีกสามคนมองตาม อย่างสงสัยว่านกสาวจะทำสิ่งใด
พรึบๆ พรึบๆ หมับ
เสียงสัตว์มีปีกขนาดไม่เล็กนักโผบินมาเกาะไหล่เทย์ อย่างคุ้ยเคย
“นกนี่คือ...อคีนียาหรือ” อีลน่ามองนกบนไหล่เทย์ตาโต
“ใช่แล้วอีลน่า...ข้าคือ อคีนียา” นกสาวตอบกลับเล่นเอาอีกสามคนเกือบตกเก้าอี้
กว่าทั้งหมดจะทานเสร็จก็บ่ายคล้อยเต็มที อคีนียาที่ตอนนี้กลับมาเป็นคนอีกครั้งเดินนำเงินไปจ่ายค่าอาหาร
“ต่อไปก็ม้า...ใครมีม้าแล้วบ้างล่ะ” เทย์ถามขึ้นทุกคนได้แต่สายหน้า
“แล้วเขาขายกันที่ไหนล่ะ” ไอรีนถามขึ้นบ้าง
“เจ้ารู้ไหมอคีนียา” เทย์ถาม นกสาวที่เดินกลับมาพยักหน้า
“เจ้านำไปซิ”
นกสาวพาเดินลิ่วไปยังเขตปลอดคนนอกเมือง แล้วกระโดดขึ้นฟ้ากลายเป็นนกต่อหน้าสหายทั้งสาม เล่นเอาทั้งสามหน้าหวอไปเลยทีเดียว
“ไปกันเถอะ...เดี๋ยวจะเย็นเสียก่อน” เทย์เรียกแล้วรับวิ่งตามไป ทำให้ที่เหลือต้องวิ่งตามอย่างไม่มีทางเลือก สักพักทั้งสี่ก็เริ่มเห็นแนวรั้วไม้ที่บ่งบอกว่าข้างหน้าต้องเป็น
สถานที่เลี้ยงสัตว์...
ฟาร์มที่ทั้งสี่มาถึงเป็นฟาร์มที่ใหญ่เอาการ แต่กลับไม่มีใครมาเลือกซื้อเลย...เพราะอะไรน่ะหรือ?
“ยังมีมาอีกหรือ ข้าเห็นเด็กๆ เขามาซื้อกันตั้งแต่เมื่อวานแล้วนี่ ตอนนี้ก็เหลือม้าแค่สามตัวจะเอาไหม ตัวล่ะ 3,000 ซัน” ผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลฟาร์มถาม
“เพิ่มอีกสักตัวไม่ได้หรือ” บลูมเมอร์ถาม
“มันหมดแล้ว...อ๋อ มีอยู่ตัวหนึ่ง มันเป็นม้าพยศนะ ถ้าเจ้าจะซื้อข้าจะลดให้เหลือ 2,500 เลยเอา”
“เอาไหมเทย์” บลูมเมอร์ถามอีก
“ไม่เอาก็ต้องเอา...ไม่มีแล้วนี่”
...อคีนียา ขี่ม้านี่มันยากไหมล่ะ...
...ข้าช่วยท่านเอง...
“แล้วม้าตัวนั้นอยู่ไหน...” เทย์หันไปถามเจ้าของฟาร์ม
“ตามมา”
เจ้าของฟาร์มเป็นชายร่างใหญ่ที่เทย์ไม่สามารถบอกได้ว่าเขามีผมสีอะไรเพราะเขาศีรษะล้าน แต่หากสังเกตดีดีจะเห็นว่าเขามีคิ้วสีน้ำตาล ผมของเขาจึงน่าจะมีสีน้ำตาลมา
ก่อน ดวงตาของเขามีสีดำสนิท แค่ดูลักษณะภายนอกกับท่าทีของเขา เทย์คิดว่าชายคนนี้ต้องเป็นคนตระหนี่อย่างร้ายกาจทีเดียว
ชายร่างยักษ์นำทั้งสี่มาที่ด้านหลังซึ่งเป็นจุดที่มีรั้วกั้นสูงกว่าปกติ สายตาทั้งสี่คู่กวาดมองหาสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า...ม้า ก่อนจะเห็นสิ่งผิดปกติอยู่ตรงมุมหนึ่งของสนาม
ม้าสีขาวพวงพีไม่มีอานม้าอยู่บนหลัง กำลังยืนเล็มหญ้าอ่อนอยู่อย่างโดดเดี่ยว
อคีนียารีบบินไปทางนั้นทันที...
...สวัสดีเจ้าชื่ออะไร...เสียงของอคีนียาที่ส่งผ่านมายังเทย์ด้วยเอ่ยถามเจ้าม้าขาว
...ข้าชื่อไวทย์ แล้วนกอย่างเจ้าล่ะชื่ออะไร...
...ข้าชื่อ อคีนียา เจ้านายของข้าชื่อเทย์ ต้องการให้เจ้าไปอยู่ด้วย เขาอยากได้เจ้าไปเป็นสหาย...
...มนุษย์นะหรือจะให้สัตว์อย่างข้าไปเป็นสหาย น่าหัวเราะ...
เทย์ได้ยินดังนั้นก็เดินดิ่งมายังม้าพยศโดยคนอื่นๆ ไม่ทันทัดทาน
“ข้าพูดจริงนะว่าอยากได้เจ้าไปเป็นเพื่อน”
...มนุษย์เชื่อไม่ได้...
“แต่เจ้าเชื่อข้าได้...ข้ารับรอง อคีนียาก็เป็นเพื่อนข้า ถ้าเจ้าไม่เชื่อเจ้าลองถามนางดู”
...จริง ท่านเทย์พูดจริง...นกสาวรับรอง
...มนุษย์อย่างเจ้าฟังข้าออกด้วยหรือ...
“ก็ไม่ดีหรือไง ข้าจะได้รับฟังเจ้าได้ยังไงว่าเจ้าต้องการอะไร ไวทย์”
...ก็ได้ ข้าจะลองเชื่อมนุษย์อย่างท่านดู เทย์...
เทย์ลูบหัวมันเบาๆ
“ข้าจะลองขี่เจ้าดูจะได้ไหม ข้าไม่เคยขี่มาก่อน จะดีมากเลยถ้าเจ้าจะกรุณาสอนข้า”
...ได้ เด็กน้อย...
“จะเป็นไรไหมถ้าข้าจะขออานม้ามาใส่แล้วลองขี่ดู” เทย์หันไปตะโกนถามผู้เป็นเจ้าของม้า
แม้จะสงสัยในท่าทีของเจ้าม้าพยศแต่ ชายร่างยักษ์ก็ยังเรียกคนงานให้ไปนำอานมามาให้ เทย์มองดูวิธีการใส่อานม้าอย่างตั้งใจ เมื่อเจ้าม้าร้องบอกว่าอานแน่นเกินไป
เด็กสาวก็ไม่ลืมบอกให้คนงานปรับระดับใหม่ ทำให้เจ้าม้าพอใจอย่างมาก...
ต่อมาเทย์ก็ได้หัดขึ้นม้าเป็นครั้งแรกในชีวิตโดยความช่วยเหลือของ...ม้า
และเป็นภาพที่น่าตื่นตะลึงที่สุดของเจ้าของฟาร์ม เมื่อม้าที่ไม่ยอมให้ใครขึ้นขี่มาก่อนย่อตัวลงมาให้เทย์ขึ้นขี่ทำเอาเจ้าของฟาร์มหัวใจแทบวาย
เท่านั้นยังไม่พอ...มันยังพาเดินเหยาะๆ เหมือนไม่เคยเป็นม้าพยศมาก่อนเสียอีก
“จะ...เจ้าทำได้ยังไง”
“ท่านก็หัดพูดกับพวกเขาดีๆ หัดเอาใจเขามาใส่ใจเรา แค่นั้นก็ไม่มีปัญหาแล้ว ตกลงม้าตัวนี้ราคา 2,500 บา...เอ๊ย...ซันใช่ไหม? อคีนียาขอถุงเงินหน่อย!” นกสาวหย่อนถุง
เงินให้เทย์
“นกนี่มัน...” เสียงเจ้าของฟาร์มร้องถาม หลังเทย์ยื่นเงินให้ก่อนจะชวนเพื่อนๆ ขี่ม้ากลับกันอย่างครื้นเครง
ระหว่างทางเข้าเมืองเทย์ชักชวนทั้งสามทานอาหารเย็นยังที่พักของตนจนรู้ว่าบลูมเมอร์เองก็พักที่เดียวกัน ส่วนสองสาวเดิมทีพักกับขบวนเกวียนของเหล่าเด็กที่มาจาก
แล็คค์รอยแต่เมื่อผลสอบออกมาแล้วมีเด็กเพียงไม่กี่คนที่สอบผ่าน ขบวนเกวียนเหล่านั้นจึงกลับไป เด็กๆ ที่เหลืออยู่จึงต้องหาที่พักกันเอง ไอรีนกับอีลน่าเลือกโรงแรมที่ราคา
ไม่แพงนัก ทั้งคู่เพิ่งรู้ว่ามันก็ไม่ไกลจากที่พักของเทย์เลย...
“พวกเจ้ามาพักอยู่กับข้าไหมจะได้ประหยัดเงินด้วย” เทย์ที่หลุดปากถามออกไปปิดปาดตัวเองไม่ทัน เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนอยู่ในสถานะใด
แต่นั่นไม่เท่ากับสองสาวที่หน้าแดงจนหาใดเปรียบไม่ได้
“เดี๋ยวข้าให้อคีนียามานอนกั้นระหว่างข้ากับพวกเจ้าก็ได้ เตียงห้องข้ากว้างมาก นอนกันสี่คนสบายอยู่แล้ว” เทย์พยายามหาทางออกกับคำพูดที่ผิดไป
“เตียงห้องข้าเล็กนิดเดียว สองคนก็เต็มกลืนแล้ว เตียงห้องเจ้ามันจะใหญ่ไปกว่าข้าได้ยังไง” บลูมเมอร์เถียงทันควัน
แต่เมื่อทั้งสามมาเห็นห้องของเทย์แล้วจึงอึ้งอย่างพูดไม่ออก แต่สองสาวยังคงปฏิเสธอยู่ดี ตอนแรกบลูมเมอร์ก็ทำท่าว่าจะขออยู่ด้วยแทนที่สองสาวแต่เมื่อรู้ว่าใครที่อยู่ใน
ห้องถัดจากนี้ไป เขาก็รีบเปลี่ยนใจทันทีเช่นกัน...
ช่วยเม้นหน่อยน้าาาา
วิจารย์กันหน่อย