ตอนที่ 1 การเดินทาง
[/size]
“เทย์...เทวิกา...”
เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นที่ข้างหูก่อนที่จะรู้สึกถึงการสั่นสะเทือนเล็กน้อยเหมือนดังการเกิดแผ่นดินไหวประมาณ 5.0 ริกเตอร์ ที่ช่วยเรียกประสาทสัมผัสที่จมอยู่ในห้วงนิทราของเทย์ให้ตื่นขึ้น
ก่อนที่เจ้าของชื่อค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ อย่างที่เรียกว่า....ไม่อยากจะตื่นเลยจริงๆ
“ขอนอนต่ออีกหน่อยนะจ๊ะ...นิโคลเพื่อนรัก” เสียงงัวเงียหลุดออกจากปากของคนขี้เซาเป็นภาษาอังกฤษอย่างคล่องปากเมื่อเห็นว่าใครคือผู้ที่อยู่ตรงหน้า
“ฉันเพิ่งจะได้นอนไปเมื่อกี้เองนิโคล กำลังฝันสนุกๆ ไม่น่ารีบปลุกเลย” เทย์มุดหัวเข้าไปอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาที่ตอนนี้ปิดร่างในชุดนอนเพียงแค่ช่วงหัวยาวลงมาถึงกลางหลัง ส่วนท่อนร่างของเด็กสาวกำลังกอดก่ายอยู่บนตุ๊กตาแมวตัวอ้วนสีเทาที่มีรูปร่างผิดไซต์เพราะมีร่างกายเพียงท่อนเดียว คือ ช่วงหัว ตัว และสะโพก รวมกันอยู่ในรูปร่างทรงกลม มีหน้า ขา และหาง ยื่นออกมาเพียงเล็กน้อย ดูแล้วเหมือนกับลูกโป่งที่ถูกเป่าลมจนพองมากกว่าตุ๊กตา แต่ดูเหมือนผู้เป็นเจ้าของจะชอบใจนักหนา เห็นว่าเป็นของขวัญวันเกิดชิ้นแรกที่ได้รับ ซึ่งคนให้อย่างนิโคลก็อดยิ้มไม่ได้เมื่อได้ยิน
แต่ตอนนี้...คนปลุกอย่างเธอได้แต่สายหน้าช้า ๆ เมื่อมองซ้ายมองขวาก็เหลือบไปเห็นสาเหตุที่ทำให้เพื่อนตัวแสบที่ทำตัวงอแงเหมือนเด็กอนุบาลไม่ยอมตื่นไปโรงเรียน
หนังสือนวนิยายเล่มโตที่ความหนาไม่ต่ำกว่าหนึ่งนิ้วแน่ๆ ที่วางข้างที่นอน
คนที่ไม่ยอมลืมตาออกจากนิทรารมย์อยู่ในขณะนี้ น่าจะจับไปตีก้นเสียให้เข็ด
...ไม่ว่ายังไง...เทย์...ก็ยังติดนิยายไม่เปลี่ยน ไม่รู้เรียนเก่งได้ไงซิน่า
เล่มนี้ไม่เคยเห็นแฮะ คงก็จะซื้อมาเมื่อวาน...แต่ยัยนี่...คงหักโหมอ่านเมื่อคืนจนจบแล้วมั้ง และผลก็คืออย่างที่เห็น...
แล้วจะทำไงแม่คุณถึงจะยอมลุกล่ะเนี่ย...!
วันนี้ต้องไปให้ทันด้วย...ไม่อย่างนั้นเรียนไม่จบแน่...
อ๋อ...!
หึ...หึ...เสร็จแน่ ไม่ลุกก็ให้รู้ไป...!!!
“เอ่อ…โทมัสค่ะ นิโคลพยายามปลุกเทย์แล้ว แต่เขาไม่ยอมตื่นเลยค่ะ...” นิโคลเดินไปเปิดประตูห้องแล้วพูดบางอย่างให้คนในห้องได้ยิน
“อุ๊ย…โทมัส โทมัสหรอ มาตั้งแต่เมื่อไหร่...” คนขี้เซาดีดตัวลุกขึ้นตั้งแต่ได้ยินชื่อเพื่อนชายสุดหล่อที่ตนแอบปลื้มตั้งแต่ ม. 1 ก่อนจะฉีกยิ้ม ทั้งที่ยังมัวขี้ตาสอดสายสายตาไปรอบ ๆ ห้อง
...แต่...
...ก็ยังไร้ซึ่งวี่แววของเจ้าของนามที่เพื่อนสาวเปล่งออกมา…
...ทำไมไม่มีง่ะ..!
…หรือว่า...
ดวงตาสีสนิมหันไปมองยัยตัวดีตาสีฟ้าก็เห็นตัวต้นเหตุที่พยายามกลั้นหัวเราะจนต้องเอามือกุมท้อง ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเพราะกลั้นไม่ไหว
“นิโคล...นี่ เธอหลอกฉันหรอ!”
...ไม่นะ...หนะ...หนูไม่ยอม...
“ก็เธออยากไม่ยอมตื่นนี่...รู้ไหมว่านี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วจ๊ะ” เทย์หันไปมองที่ผนังห้องที่แขวนนาฬิกาไว้
เข็มยาวมันชี้ที่เลข 6
ส่วนเข็มสั้น...อยู่ระหว่างเลข 8 กับเลข 9
“แค่แปดโมงครึ่ง” เทย์หันไปตอบเพื่อนสาวแล้วทำท่าจะนอนต่อ ก่อนที่ดวงตากลมโตสีสนิมจะขยายกว้าง
“หา! แปดโมงครึ่ง อีก 30 นาที...ตายห่..”
“ใช่! เหลือเวลาอีก 30 นาทีเราต้องไปให้ถึงรถกันแล้ว...”
ตั้งแต่คำว่า ‘ใช่!’ ของนิโคล เทย์ก็คว้าผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หลังจากนั้น 15 นาที คนขี้เซาก็รีบสวมเสื้อยืดและกางเกงยีนตัวเก่งสะพายเป้ใบโตวิ่งออกไป...
วันนี้ทั้งสองต้องไปเป็นอาสาสมัครยังหมู่บ้านอันห่างไกล ซึ่งเป็นการออกค่ายชมรมอาสาพัฒนาชนบทก่อนจะจบจูเนียร์ไฮสคูล แต่ก็ดันตื่นสายซะนี่ ฤกษ์ชักไม่ดีเสียแล้วแฮะ
“มาทันพอดี!” เสียงพูดเบาๆ ของนิโคลเรียกเทย์ให้หันไปมองรถบัสปรับอากาศรุ่นนิยม ใช้พัดลมธรรมชาติตรงหน้าก่อนที่ทั้งคู่จะเดินไปนั่งเบาะหลังที่มีที่ว่างเหลือ 2 ที่พอดี
“แหวนสวยดีนี่ เทย์...ไปซื้อมาจากไหน?” นิโคลถามขึ้นขณะที่รถบัสเริ่มเคลื่อนตัวช้าๆ และเร็วขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะวิ่งในระดับคงที่ในอัตราเต่าเรียกแม่ คือ 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง
“แหวน..! แหวนอะไร..?” นิโคลทำสีหน้าฉงนกับคำตอบของเพื่อนสาว
แต่เจ้าตัวสงสัยยิ่งกว่า...เพราะตั้งแต่จำความได้เด็กสาวไม่เคยใส่แหวนมาก่อนไม่ว่าจะเป็นนิ้วใด เพราะเห็นว่าเครื่องประดับพวกนี้เป็นสิ่งฟุ่มเฟือย เป็นการเสียเงินโดยใช่เหตุ และที่สำคัญ...มันน่ารำคาญ
“ก็แหวนที่นิ้วกลางข้างขวาของเธอไง เทย์” นิโคลบอกพรางชี้นิ้วไปยังวัตถุต้นเหตุบนนิ้วของเจ้าตัว
“เฮ้ย! มาได้ไงเนี่ย”
เสียงอุทานเป็นภาษาไทยของเทย์คงจะดังน่าดู เพราะคนทั้งคันรถหันมามองกันเป็นตาเดียว (อ้อ! ยกเว้นคนขับไว้อีกหนึ่งคน) แต่ตอนนี้เทย์ก็ไม่สนใจอะไรแล้ว
นอกจากแหวนที่อยู่ในมือ แหวน..แหวนสีแดง...อัญมณีที่ใสราวกับแก้วสลักเป็นรูปนูนต่ำรูปนกกางปีก
ภายในอัญมณีมีสีส้มที่ดูแล้ว...มัน...กำลังเคลื่อนไหวประดุจเปลวไฟมีชีวิต
แต่มันเหมือนซ่อนอะไรบางอย่างไว้
แหวนที่ปรากฏในฝัน...แหวนที่เปล่งประกายสีขาวสว่างไสว
...ไม่ว่ามันคือแหวนอะไร...
...แต่...
...มันมาอยู่ที่นิ้วกลางของฉันได้ไงอ่ะ...
...หรือว่า...
“นิโคล! เธอเอาแหวนอะไรแอบมาใส่นิ้วฉันเนี่ย?”
“เธอจะบ้าหรอไง เทย์! นิ้วของเธอใครจะเอาไปใส่ได้ ใส่เองเมื่อไหร่ก็ไม่รู้หรือไง”
“ถามจริงๆ เธอไม่ได้เอามันมาใส่นิ้วฉันหรอนิโคล?”
สายตาที่มองมาตรงๆ ของนิโคลบงบอกได้เป็นอย่างดี
แล้วมันมาอยู่นี้ได้ไงอ่ะ!
หรือว่า...
แหวนผีนี่...ต้องถอดมันออก...
“เป็นอะไรอ่ะเทย์...! เดี๋ยวนิ้วก็ช้ำหมดหรอก”
“ก็มันถอดไม่ออก...” ไอ้แหวนผีนี่ถอดยากชะมัด
“แหวนนี้ก็สวยดีนี่ เธอจะถอดทำไมอ่ะเทย์ ดูแล้วน่าจะเป็นแหวนที่เก่ามากด้วยน่ะ”
“เอ๊ะ! เทย์ มันมีอักษรภาษาอะไรก็ไม่รู้อยู่บนแหวนด้วย ดูสิ..!”
ตัวอักษรประหลาดที่ว่าขีดเป็นเส้นๆ วกไปวนมา ไม่เหมือนกับตัวอักษรภาษาใดๆ ที่เคยเรียนรู้มาเลยสักนิด ไม่ใช่จีน ญี่ปุ่น เขมร หรืออิยิป แต่มันเป็นอักษรภาษาอะไรกันล่ะ
...แต่ที่แปลกก็คือ เทย์กลับรู้สึกคุ้นๆ ราวกับเคยเห็นมาก่อน
มันคุ้นเคย คุ้นเคยจริงๆ นะ
“โอ๊ย! ทำไมมันถึงได้เหนื่อยอย่างนี้น่ะ”
เสียงโอดครวญของนิโคลดังขึ้นหลังจากต้องเดินเท้าเข้าป่ามาทั้งวันเพื่อเข้าไปยังหมู่บ้านที่ห่างไกลทำให้เทย์ยิ้มอย่างเห็นใจ ถึงแม้นิโคลจะมีความตั้งใจเต็มเปี่ยมขนาดไหน แต่...บุตรสาวของนายทุนเงินหนาที่สุดของเมืองก็คงจะไม่เคยได้รับความลำบากอย่างนี้มาก่อนเป็นแน่ แค่นั่งรถปรับอากาศรุ่นนิยม ใช้พัดลมธรรมชาติ ที่ครูหัวหน้าชมรมจัดหามาเพื่อให้นักเรียนได้สัมผัสบรรยากาศใหม่ๆ นี่ ก็อัศจรรย์ใจมากแล้ว
มันต่างอย่างสิ้นเชิงกับเด็กกำพร้า จะต้องดิ้นรนมาตั้งแต่จำความได้อย่างเทย์ เธอเติบโตมาจากสถานสงเคราะห์ที่โชคดีได้พ่อบุญธรรมที่แสนจะใจดีส่งเสียให้เรียนถึงโรงเรียนนานาชาติแห่งนี้ทั้งที่ราคาค่าเทอมมันแสนแพง และมันทำให้เทย์ได้พบกับนิโคลลูกสาวแท้ๆ ของพ่อบุญธรรม นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เทย์กับนิโคลก็กลายเป็นช้อนกับส้อม ถ้าขาดใครคนใดคนหนึ่งมันก็จะขาดความสมดุล และทำให้ขาดรสชาติ
"นี่...คิดอะไรอยู่เทย์"
นิโคลมองอย่างสงสัยในตัวเพื่อนสาวที่เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตอบกลับมาสักที ก่อนจะรีบทรุดตัวลงทันทีที่คนนำทางบอกว่าให้พัก
“เปล่า ว่าแต่เธอทนได้ไหมนิโคล นี่แค่วอร์มอัพเองนะ วันพรุ่งนี้หล่ะถึงจะเป็นของจริง” เทย์มองหน้าของนิโคลที่ดูขาวซีดกว่าปกติ แต่วันนี้เย็นมากแล้ว คงได้เวลาเลิกเดินและตั้งแคมป์ นิโคลไม่น่าจะเป็นอะไรแล้วหล่ะ
เทย์มองไปรอบๆ ป่ากว้างที่หาดูได้ยากในปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ที่นำทางบอกไว้ก่อนที่คณะเดินทางจะได้เดินทางเข้ามาว่า ปัจจุบัน จำนวนสัตว์และต้นไม้ในประเทศเหลืออยู่น้อยเต็มที เพราะพวกบรรดานายทุนเงินหนาแต่จิตสำนึกต่ำจ้างชาวบ้านซึ่งขาดความรู้และมีความละโมบเข้ามาตัดต้นไม้และล่าสัตว์ในเขตป่าสงวนซึ่งเป็นสมบัติของชาติ และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเธอเห็นสัตว์ป่าระหว่างทางน้อยมาก จะเห็นก็เพียงพวกกวางฝูงเดียว กับช้างอีกโขลง
ครูที่เคยเข้ามาในป่าแห่งนี้บ่อยๆ ยังบอกอีกว่า สัตว์นักล่าพวกเสือนั้นคงมีไม่ถึงสามตัวในป่าแห่งนี้ หากอยากเห็นละก็ ที่สวนสัตว์คงมีมากกว่า ดังนั้น อันตรายที่จะเกิดขึ้นจากสัตว์ป่าจึงแทบไม่มี
“เสือมีเพราะป่าปรก ป่ารกเพราะเสือยัง ป่ายังเพราะเสือมี” ประโยคที่จำได้อย่างเลือนรางที่เคยได้ยินเมื่อนานมาแล้วผุดขึ้นมาในหัว
ถ้าขนาดเสือผู้เฝ้าปกป้องป่ายังถูกล่า แล้วใครกันละจะปกป้องป่าได้....
ในเมื่อมนุษย์เองคือผู้ทำลายธรรมชาติ ทำลายบ้าน ทำลายแหล่งอาหารของตนเอง แล้วยามที่เกิดภัยพิบัติ ทั้งน้ำป่า น้ำท่วม แผ่นดินไหว ดินถล่ม ฝนแล้ง ไฟป่า ยังจะมัวโทษธรรมชาติกันอยู่อีกหรือ
จะโทษใครได้ละ...ถ้าไม่ใช่มนุษย์กลุ่มเล็กๆ แต่มีอำนาจพวกนั้น
หนทางแก้...คงมีเพียงแค่ให้ทุกคนช่วยกันสอดส่องดูแล แต่ก็อย่างว่า...
ป้องกันนั้นยากกว่าทำลายเสมอ
“เทย์...” เสียงของนิโคลดังขึ้นพร้อมแรกกระตุกที่มือขวาเพื่อให้เทย์นั่งลงเคียงข้าง
“เธอดูไม่ค่อยเหนื่อยเลยน่ะ...ไม่เหนื่อยบ้างเลยหรอ เธอนี่มันยอดมนุษย์จริงๆ ดูคนอื่นสิ” ทั้งคู่กวาดสายตามองเพื่อนร่วมทางร่วมสี่สิบคนที่พากันนั่งลงอย่างหมดแรง บางคนดึงเอาพัดลายฉลุของคุณหญิงป้าออกมาพัดวีระบายความร้อน บางคนนั่งหลับพิงต้นไม่อย่างหมดแรงโดยไม่กล้านอนราบลงกับพื้น และอีกหลายคนกำลังกระดกน้ำลงลำคอที่แห้งผากอย่างกระหาย และมีไม่น้อยเลยที่พบว่ากระบอกน้ำที่พกมานั้น ไม่เหลือหยดน้ำให้พวกเขาได้ประทังความกระหายอีกต่อไปแล้ว
เทย์ที่ดื่มน้ำระหว่างทางเพียงน้อยนิดเพราะคำเตือนของเจ้าหน้าที่ หยิบยื่นกระบอกน้ำของตนให้พวกเพื่อนๆ อย่างเต็มใจ โดยไม่ลืมเตือนให้ดื่มแค่พอประทังความกระหาย เพราะยังมีเพื่อนอีกหลายคนต้องการมัน
เทย์นึกขันตัวเองอยู่ไม่น้อย กว่าที่ตนเองจะทำให้พวกเพื่อนๆ ผู้มีอันจะกินเหล่านี้ยอมรับได้ มันเป็นเวลาเกือบสามปีทีเดียว เกือบสามปีที่เธอถูกคนพวกนี้กลั่นแกล้ง แต่สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ยอมรับเธอและเธอก็ให้อภัย
ตอนนี้เธอสามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า พวกเขาคือเพื่อน...เพื่อนที่เธอรัก
“ที่ฉันไม่ค่อยเหนื่อยอาจเป็นเพราะฉันชินกับงานหนักพวกนี้อยู่แล้วก็ได้” เทย์ตอบพร้อมรอยยิ้มบางๆ หากสายตาของเธอกลับทอดมองไปยังผืนป่าเบื้องหน้า ที่เธอเพิ่งเห็นนกเงือกตัวหนึ่งเพิ่งผละออกมาจากโพรงเล็กๆ ที่เทย์เดาได้เลยว่า ข้างในนั้นต้องมีนกเงือกตัวเมียและนกเงือกตัวน้อยๆ อีกสองสามตัวกำลังรออาหารจากตัวที่เพิ่งผละออกมาอย่างหิวโหยอยู่แน่ๆ เทย์รู้สึกเกลียดพวกที่ดักจับหรือฆ่านกเงือกมากที่สุด เพราะหากนกเงือกตัวผู้ถูกจับหรือตายไป นั่นหมายถึง ต้องมีนกเงือกอีกหลายตัวที่ต้องกลายเป็นเหยื่อสังเวยความโหดร้ายของมนุษย์
“ฉันขอโทษนะ...ฉันลืมไปว่าเธอ...” เทย์ส่ายหน้าอย่างไม่เคยถือโทษ ก่อนหน้าที่เทย์จะได้ไปอยู่บ้านเดียวกับนิโคลเมื่อสามปีก่อน เทย์ที่อายุได้ 12 ปี มักจะแอบออกจากสถานสงเคราะห์ ไปรับจ้างตามร้านค้า หรือแม้แต่ปลอมตัวเป็นเด็กผู้ชายไปขอทำงานแบกกระสอบข้าวสารตามโรงสี เพื่อหาเงินมาเป็นทุนรอนในการเรียนต่อชั้นมัธยมที่สถานสงเคราะห์ไม่สามารถส่งเสียได้ ตอนแรกๆ ไม่มีใครจ้างเธอเลยสักคน แต่เมื่อเธอบอกเหตุผล เธอก็พบว่า คนที่มีน้ำใจยังคงมีอยู่ในสังคมที่เหลวแหลก ซึ่งมันหาได้ยากแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี และเธอก็พบคนดีๆ แบบนี้อยู่เสมอ...
“ทางข้างหน้าก็เป็นหมู่บ้านแล้วครับ” เสียงเจ้าหน้าที่นำทางร้องบอกอยู่ข้างหน้าประดุจเสียงสวรรค์ของใครหลายๆ คน
“ในที่สุดก็ถึงเสียที ฉันไม่แปลกใจเลยนะเทย์ว่าทำไมคนที่นี่ถึงไม่ค่อยได้รับความเจริญ เพราะมันเข้ามาลำบากอย่างนี้นี่เอง” นิโคลถอนหายใจ แต่ฝีเท้ากลับเร่งขึ้นราวกับคำบอกของเจ้าหน้าที่เป็นยาดีที่ทำให้เธอเกิดความหึกเหิม
“ถ้าอยากต้องการให้ชาวบ้านพวกนี้ได้รับความเจริญจริงๆ ให้คนในเมืองสามารถเข้าถึงได้ง่ายๆ ก็เพียงแค่ตัดถนนเข้ามาก็เรียบร้อยแล้วนิโคล..” ลีน่าเพื่อนสาวอีกคนกล่าวด้วยใบหน้าแดงกรำแดด ใบหน้าของเธอชื้นไปด้วยเหงื่อซึ่งเป็นภาพที่หาดูได้ยากหากอยู่ในเมือง
พี่ชายของลีน่าเป็นวิศวกรโยธาที่มีชื่อเสียง ส่วนพ่อของเธอเป็นประธานบริษัทรับเหมาก่อนสร้างยักษ์ใหญ่ เทย์แน่ใจเลยว่าตอนนี้ลีน่ากำลังนึกภาพการตัดถนนเข้ามายังพื้นที่ห่างไกลแห่งนี้
“ถ้างั้น...ฉันให้พ่อลงทุนให้พี่ชายเธอออกแบบคุมงานแล้วก็ให้พ่อเธอจัดสรรพัสดุ มาจัดการตัดถนนเข้ามาเลยดีกว่า..”
“ไม่ได้นะนิโคล..!” เทย์ค้านเสียงหลงทันทีที่ได้ยินคำพูดของเพื่อนสาวที่มีศักดิ์เป็นพี่น้องตามกฏหมาย
“ทำไมอ่ะ..!”
“เธอรู้หรือเปล่า ว่าการที่เธอทำให้คนพวกนี้เจริญขึ้นเหมือนพวกเราอะไรจะเกิดขึ้น” นิโคลสายหน้าด้วยความสงสัย ก่อนจะเอ่ยคำถามที่หลายๆ คนต่างก็ต้องการคำตอบและพากันเดินเข้ามาใกล้ๆ เพื่อฟังอย่างสนใจ
“การพัฒนาคนที่นี่มันมีข้อเสียยังไง”
“ที่จริงการพัฒนามันก็ดีอยู่ แต่เธอเคยสังเกตไหมว่า... ในปัจจุบันบ้านเมืองมันเจริญก็จริง คนเราขึ้นไปบนดวงจันทร์ได้ สร้างระเบิดที่มีอำนาจทำลายล้างมหาศาลได้ แต่มันก็เป็นเพียงความเจริญทางวัตถุเท่านั้น มันไม่ช่วยให้เกิดความเจริญทางจิตใจได้เลย และเธอรู้ไหมว่าการที่ป่าถูกทำลายมากขึ้นก็เพราะความเจริญนี่หล่ะ...”
“มนุษย์เป็นสัตว์ที่ไม่รู้จักพอ นิโคล พวกเราต้องการการขยายอาณาเขต ต้องการแหล่งอาหาร จนกลายเป็นการรุกรานสัตว์อื่นๆ ที่อาศัยบนโลกสีฟ้าใบนี้ ถึงแม้มนุษย์จะไม่มีเขี้ยว ไม่มีเล็บ อย่างสัตว์ทั้งหลาย แต่มีมนุษย์มีมันสมอง มีความคิด และนั่นทำให้มนุษย์สรรสร้างอุปกรณ์นานาชนิดขึ้นมาต่อกรกับธรรมชาติ จนกลายเป็นการทำลายความสมดุล การตัดถนนเข้ามาหรือการนำความเจริญเข้ามา ก็ไม่ต่างกับการเชิญชวนให้มนุษย์ผู้มีความมักง่ายเข้ามาทำลายแหล่งธรรมชาติให้กลายเป็นแหล่งเสื่อมโทรม เธอคงเคยเห็นแหล่งธรรมชาติพวกน้ำตกหรือทะเลที่สวยงามทั้งหลายแล้วไม่ใช่หรือ ผู้คนที่รู้ข่าวต่างพากันไปเยี่ยมชมราวกับรักธรรมชาติอันสวยงาม แต่ก่อนกลับพวกเขากลับทิ้งเศษขยะอันน่าขยักแขยงทิ้งไว้ จนสถานที่สวยงามกลายเป็นแหล่งที่ไม่น่าพิสมัย จนคนรุ่นหลังขาดโอกาสที่จะได้เห็นความงดงามของธรรมชาติที่มีเพียงแต่ธรรมชาติเท่านั้นที่จะสร้างสรรค์ขึ้นมาได้...” เทย์อธิบายยาวเหยียดน้ำเสียงกรุ่นโกรธ จนดวงตาวาววับแบบแปลกๆ แต่ทว่ากลับไม่มีใครสนใจ
“มันก็จริงของเธอ แต่ความรู้ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่ใช่หรือ ไม่งั้นพวกเราจะดั้นด้นเดินทางมาถึงที่นี่กันทำไมกัน” ลีน่าพูดแทรกขึ้นมาด้วยอารมณ์ผสมความเหนื่อย
“พวกเรา เข้ามาให้ความรู้และพัฒนาพวกเขาในฐานะของเพื่อนมนุษย์ยังไงละ อันที่จริงพวกเขาก็มีภูมิปัญญาอย่างพวกทางการแพทย์เหมือนกันนะ ก็พวกสมุนไพรที่เป็นของหาได้ง่ายจากในป่า...”
“...เธอดูนั่นสิ! บางบ้านเขายังปลูกสมุนไพรไว้เลยเห็นไหม! แต่อันที่จริง...จะว่าความความเจริญอย่างเดียวก็ไม่ได้...เพราะตัวการที่แท้จริง ก็คือมนุษย์อย่างเราๆ นี่หล่ะ”
“เธอนี่รู้เรื่องพวกนี้ได้ไง วันๆ เห็นอ่านแต่นิยาย” นิโคลมองเพื่อนสาวที่มีความคิดเกินวัย
“แหม! อย่างอื่นฉันก็อ่านย่ะ” เทย์ทำหน้างอนเหมือนเด็กจนนิโคลอดไม่ได้ที่จะหยิกแก้มทั้งสองข้างของเทย์อย่างหมั่นเขี้ยว
“ความจริงเธอไม่น่าอยากเป็นหมอเลยนะ...น่าจะอยากเป็น...”
“เป็นอะไร...พูดดีดีนะนิโคล” เทย์ขู่อย่างไม่จริงจังพรางหยิกแก้มเพื่อนสาวคืน
“เป็น...นักอนุรักษ์ธรรมชาติ นักสังคมสงเคราะห์ หรือไม่ก็นักปกครองไปเลยไง...” นิโคลรั้งมือเทย์ออกแล้ววาดมือตนเองไปในอากาศ
“จะให้ฉันไปปกครองใครล่ะ ไปทางโน้นดีกว่าชาวบ้านรออยู่ ไปเหอะ” เทย์เห็นท่าเพื่อนจะละเมอเพ้อพกไปใหญ่เลยจับแขนทั้งสองข้างของเพื่อนสาวมาไว้ในมือเสีย แล้วลากไปทางที่ชาวบ้านและเพื่อนๆ รออยู่
“เทย์..ทำไมมานั่งตรงนี้คนเดียว” เสียงที่ดังมาจากความมืดทำให้คนที่นั่งเหม่อมองท้องฟ้ายามราตรีอันเงียบสงัดตกใจจนเกือบขว้างท่อนไม้ที่เขี่ยไฟเล่นอยู่ในมือออกไปเสียแล้ว หากไม่ติดว่าเสียงนั้นเป็นเสียงที่ตนคุ้นเคย
“อ้าว! นิโคล” เป็นเสียงของนิโคลที่ช่วยปลุกเทย์ออกจากห้วงความคิดอันหลากหลายที่ตีกันวกวนอยู่ในหัว ทั้งเรื่องแหวนประหลาดที่อยู่ในมือตอนนี้ และเรื่องความฝันประหลาดที่ยังคงหลอกหลอนอีก
“ชาวบ้านที่นี่น่ารักดีนะนิโคล...สมุนไพรบางตัวก็ดูน่าสนใจมากด้วย” นิโคลยื่นมือข้างที่มีพืชใบเขียวชนิดหนึ่งมาให้เพื่อนสาวดู
“ใช่...บางตัวเป็นสมุนไพรที่หายากมาก ๆ เลย แต่พวกชาวบ้านยังไม่รู้จักวิธีใช้ที่ดีพอ” เทย์ละมือจากท่อนไม้แล้วรับพืชสมุนไพรในมือเพื่อนสาวมาดู มือบางปลิดใบออกมาหนึ่งใบ แล้วส่งใบที่เหลือคืนผู้ที่นำมันมาก่อนจะขยี้ใบในมือจนน้ำสีเขียวเปรอะมือบาง เจ้าของมือจึงยกมือขึ้นดมกลิ่นหอมๆ ของมิ้นท์ที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย
“เทย์!” จู่ๆ นิโคลก็เรียกชื่อเทย์ออกมา ทั้งที่ทั้งคู่นั่งเงียบไปพักใหญ่
“หือ” เทยย์ขานรับ
“คืนนี้... พระจันทร์สวยดีเนอะ”
“อืม...อยู่ในเมืองเราไม่มีโอกาสได้เห็นพระจันทร์ท่ามกลางหมู่ดาวอย่างนี้หรอก สีของหลอดไฟนีออนบดบังแสงสีแห่งความมหัศจรรย์ในธรรมชาติไปเสียหมด” เด็กสาวพูดตอบอย่างดื่มด่ำกับธรรมชาติตรงหน้า
“เทย์..เธอเคยคิดที่จะ..ตามหาพ่อแม่ที่แท้จริงของเธอไหม?”
“ฉันขอโทษ ฉันไม่ควร...” นิโคลคงเห็นสีหน้าเศร้าๆ ของเทย์ที่สะท้อนจากแสงมัวๆ ของก่องไฟที่อยู่ตรงหน้าถึงได้รีบพูดขอโทษเธอทันที
“ไม่เป็นไร นิโคล...คิดสิฉันคิดถึงท่านเสมอ”
...แผ่นดินกว้างใหญ่พวกท่านอยู่ที่ไหนหนอ พวกท่านจะคิดถึงลูกคนนี้บ้างหรือเปล่า...
“ให้ฉันช่วยเธอตามหาให้เธอไหม...” นิโคลทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ พร้อมทั้งโอบไหล่เทย์ไว้อย่างปลอบใจ เหมือนทุกครั้งที่คนใดคนหนึ่งร้องไห้เสียใจ อีกคนจะต้องเข้ามาปลอบแบบนี้เสมอ
ถ้าคนอื่นมาเห็นภาพของเราสองคนตอนนี้...สงสัยว่าจะต้องมีคนคิดว่าเราสองคนเป็นทอมกับดี้แน่ๆ เลย
“หัวเราะอะไรเทย์”
นิโคลถามขึ้นก่อนจะรีบปิดปากอันเป็นการบ่งบอกว่ากำลังง่วงได้ที่
“ไม่มีอะไรหรอกนิโคล...ขอบใจนะที่จะช่วย...ถ้าเธอง่วงก็ไปนอนก่อนเถอะ”
“เธอก็อย่านอนดึกนะเทย์..เดี๋ยวจะเป็นหวัด...ฮะ…ฮัด...ฮัดเช่ย!”
เทย์ยิ้มรับกับความห่วงใยที่นิโคลมีให้..แต่สงสัยคนบอกจะเป็นเองเสียแล้ว
นิโคลพยักหน้ารับคำ เด็กสาวลุกขึ้นปัดเศษใบไม้และฝุ่นที่เกาะติดกางเกงขายาวตัวหนาออก แล้วก้าวยาวๆ ห่างจากกองไฟไป
“เอ่อ...นิโคล” เพื่อนสาวหันหลังกลับมาหาทันที
“มีอะไรหรอ เทย์” ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้เทย์เรียกเพื่อนสาวไว้
“ฉันดีใจนะที่ฉันได้มีเพื่อนดีๆ อย่างเธอ ฉันรักแกนะ นิโคล เพื่อนรัก”
เทย์ลุกแล้วเดินไปกอดคอเพื่อนรักด้วยความรู้สึกแปลกๆ รู้สึกเหมือนกับว่าถ้าเธอไม่ทำตอนนี้เธออาจจะไม่ได้ทำอีกแล้ว
“เกิดนึกพิศวาสอะไรฉันขึ้นมาว่ะ ถึงได้มาน้ำเน่ากลางป่ากลางเขาเนี่ย ดูดิ...ขนลุก แต่ก็...เออ ฉันก็รักแกว่ะเทย์ แกอย่าร้องสิ”
กลายเป็นว่าเราสองคนยืนกอดคอร้องไห้กันพักใหญ่ทีเดียวก่อนที่ฉันจะบอกให้นิโคลกลับไปนอน
...ดูเหมือนว่าวันนี้ดวงจันทร์จะดูสว่างกว่าทุกที หรือว่าจะเป็นพระจันทร์ทรงกลดที่เคยได้ยินมานะ...
หลังจากนิโคลกลับไป เทย์จึงกลับมานั่งมองท้องฟ้าอยู่ที่เดิม ไม่รู้ทำไมแต่เทย์รู้สึกว่า เธออยากจะนั่งมองท้องฟ้าอยู่อย่างนี้ ท้องฟ้าวันนี้ดูกระจ่างใสกว่าทุกวัน ดาวเป็นล้านๆ ดวงพากันส่องแสงระยิบระยับเย้าเล่นกับดวงจันทร์ที่ขับแสงออกมาราวกับกลัวน้อยหน้า...
...อีกหนึ่งนาทีจะเที่ยงคืน อีกหนึ่งนาที จะเป็นวันเกิดครบรอบ 15 ปี วันเกิดที่เงียบเหงา...
...นิโคลคงจะลืมมันไปแล้ว...
“5...4...3...” เทย์ยกมือขึ้นนับถอยหลังให้กับตัวเองเงียบๆ
“...2...1...” ฝนดาวตกตกลงมาจากท้องฟ้าส่องประกายสว่างไสว
เทย์ยิ้มให้กับตัวเอง
“ปีนี้อย่างน้อย ธรรมชาติก็มอบของขวัญล้ำค่าให้เรา ขอบใจนะ...ธรรมชาติ...”
และแล้วเด็กสาวก็เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติ...
...ดูเหมือนว่าฝนดาวตกครั้งนี้จะตกที่บริเวณนี้มากเป็นพิเศษ
แสงเล็กๆ จากดาวตกนับหมื่นนับแสนล้านดวงส่องประกายเต็มท้องฟ้าจนเกิดเป็นแสงสว่างเจิดจ้า
...เทย์รู้สึกราวกับว่า…แสงเล็กๆ เหล่านั้นกำลังวิ่งเข้ามาหาตน
เทย์วิ่งหนีอย่างสุดชีวิตไปในทิศตรงกันข้าม...นี่มันอะไรกันเนี่ย!
แสงสว่างวาบขึ้นที่นิ้วกลางข้างขวา แสงสว่างจากวัตถุเล็ก ๆ ที่เรียกว่า “แหวน” ทันทีที่มันถูกอาบด้วยแสงจันทร์ทรงกลด และดูเหมือนว่าสะเก็ดดาวเหล่านั้นจะพุ่งเข้าใส่ตัวแหวน
แสงของมันที่เปล่งประกายออกมาเจิดจ้าจนแสบตา จนเทย์ไม่กล้าที่ลืมตาสู้ พร้อมๆ กับความรู้สึกที่เหมือนถูกสูบไปสู่วังวนบางอย่าง รู้สึกราวกับว่าร่างกายถูกบีบอัดอย่างแรง จนกระดูกแทบจะหลุดออกมานอกเนื้อ...
“เทย์...เทย์หายไปไหนแล้ว เมื่อกี้ยังเห็นอยู่เลย ว่าจะมาอวยพรวันเกิดซักหน่อย...ทุกคนใครเห็นเทย์บ้าง ช่วยกันหาเทย์หน่อยเร็ว ไม่รู้ไปแอบที่ไหน ชอบหนีอยู่เรื่อยเวลารู้ทันว่าเรามีเซอร์ไพรส” เสียงคุ้นหูดังขึ้น
“ช่วยด้วย!!!” เสียงที่เปล่งออกไปเบาราวกับเสียงกระซิบ...
...เสียงเพื่อนๆ ค่อยๆ ลอยห่างออกไปทุกที...
สัญชาตญาณลึกๆ บอกกับเธอว่า เธอจะไม่มีวันได้พบกับพวกเขาอีกแล้ว เสียงสุดท้ายที่บ่งบอกว่าเพื่อนๆ พยายามตามหาเธอเพื่อที่จะฉลองวันเกิดให้ ทำให้น้ำตาของเธอไหลไม่หยุดอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ ก่อนที่สติของเธอจะเริ่มพล่าเลือน และดับวูบไปในที่สุด...