GAMEINDY กระดานสนทนา
www.gameindy.com

แมว...จรจัด

  • Jr. Member
  • **
    • กระทู้: 292
  • ~๐ยิ้ม๐ลับ๐ซ่อน๐ลึก๐~
นิยายก้นกรุ...เก่าๆ
ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเอามาลงดีไหม
แต่ลองดู...เนื้อหา เก่าๆ เดิมๆ
บางคนอาจเบื่อก็ได้ g#015

<--:ThE--$eCret--GuilD:--> กิaaึกaัU จาก"ดาวดึงส์"
http://forum.asura.in.th/index.php?topic=13967.msg269553#msg269553


แมว...จรจัด

  • Jr. Member
  • **
    • กระทู้: 292
  • ~๐ยิ้ม๐ลับ๐ซ่อน๐ลึก๐~
บทนำ

ท่ามกลางความมืดมิดดั่งห้วงแห่งรัตติกาลที่ไม่มีที่สิ้นสุดจนทำให้อดรู้สึกเหน็บหนาวและเดียวดาย แสงสว่างที่วาบขึ้นตรงหน้าก่อให้เกิดวามรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด จนทำให้เด็กสาวอดใจที่จะเอื้อมมือไปคว้าวัตถุอันเป็นบ่อเกิดแห่งพลังงานตรงหน้ามาไว้แนบอกไม่ได้  ความอบอุ่นคุ้นเคยอย่างประหลาดแทรกซึมผ่านทั่วทุกรูขุมขน ร่างกายอันเหน็บหนาวอุ่นขึ้นในทันใด  ความมืดที่เคยปรากฏลับหายกลายเป็นแสงสว่างสีขาวพุ่งออกมาจากวัตถุในมือ จนดวงตาสีสนิมต้องปิดลง
เวลาผ่านไปเล็กน้อย ดวงตาของเด็กสาวกลับลืมขึ้นอีกครั้ง ภาพของอาคารบ้านเรือนโบราณรูปทรงแปลกตาดูสวยงาม ปรากฏขึ้นแทนแสงสว่างที่ค่อยๆ จางลงไป 
ทางด้านหน้าปรากฏซุ้มประตูหินสีแดงดั่งไฟ ประดับด้วยสัตว์ 1 คู่ ที่มีลักษณะคล้ายสิงโตหากแต่มีขนาดใหญ่กว่ามาก มีหางดังม้า และมีเขาราวกับเขาของยูนิคอน 1 อัน ด้านบนหัวระหว่างใบหูทั้งสองข้าง ยามเมื่อซุ้มประตูขนาดใหญ่เปิดกว้าง ปรากฏเป็นปราสาทหินสีแดงที่ดูโอ่อ่าตระการตา แต่มันกลับแฝงด้วยความรู้สึกคุ้นเคย...
   ทันใดนั้น ภาพทั้งหมดก็พลันสลายไป ราวกับโทรทัศน์ถูกปรับเปลี่ยนช่องอย่างกะทันหัน...
   “เคร้ง! พรึบ! โอ๊ย” เสียงโลหะกระทบกันที่มาพร้อมๆ กับเสียงร้องระงมอันแสนเจ็บปวดดังแว่วเข้าสู่โสตประสาทของเด็กสาว เธอหันไปมองภาพด้านหลังอย่างช้าๆ
   สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาคือ...สมรภูมิรบขนาดย่อมท่ามกลางป่ากว้าง
กองกำลังสองกลุ่มกำลังต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย...
กองกำลังกลุ่มแรกแต่งกายเหมือนกันในชุดสีขาวบางคนถือดาบ บางคนถือไม้คทาที่มีลำแสงปล่อยออกมาทุกครั้งที่ยกขึ้นและมักจะเกิดเหตุการณ์บางอย่างตามมาด้วย เช่น สายน้ำพุ่งออกมา หรือแม้แต่เปลวเพลิงก็ตามที กองกำลังกลุ่มนี้กำลังปกป้องบุรุษในชุดเสื้อคลุมยาวสีขาวขลิบทองผู้ถือไม้คทาสีทองด้ามสั้นกว่าที่ควรจะเป็น ที่ดูราวกับบาดเจ็บไม่น้อยกับสตรีชุดสีฟ้าสดใส ในมือของเธอนั้นมีห่อผ้าสีขาวอุ้มไว้แนบอกบอกให้รู้ว่าเป็นสิ่งสำคัญยิ่งชีวิต...
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งนั้นรวดเร็วและน่ากลัว เหมือน...เหมือน...เหมือนปีศาจกระหายเลือดที่พร้อมจะทำลายทุกสิ่งที่ขวางทางและดูเหมือนสิ่งที่มันต้องการคือห่อผ้าสีขาวในมือของสตรีชุดฟ้านั่นเอง
   “ราชู ท่านจงพามีร่าและธิดาแห่งเราหนีไปก่อน” บุรุษร่างองอาจข้างสตรีนางนั้นกล่าวขึ้นกับบุรุษที่อยู่ในชุดเสื้อคลุมสีน้ำเงินที่ดูแตกต่างจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง ผมสีน้ำเงินยาวจรดกลางหลังของเขาเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ
   “...แต่ว่า...ท่านคนเดียวสู้ไม่ไหวหรอก ลงได้จตุรทูตมากันครบแบบนี้ แล้วยังจะ...”
   “ข้าบอกให้ไป!” เสียงทรงอำนาจตวาดลั่นก่อนจะชักดาบขึ้นมาแทนคทาสีทองที่หักเป็นสองท่อนวิ่งไปสู่สมรภูมิรบอันดุเดือด ผมสีทองของเขาลู่ไปตามลมเพราะความเร็วอันเหลือเชื่อของร่างกายที่พุ่งออกไป
   “ท่านพี่...!” สตรีผมสีฟ้านางนั้นร้องเรียก น้ำตาของเธอหลั่งลงมาเป็นสาย ก่อนจะถูกบุรุษชุดเสื้อคลุมสีน้ำเงินนั้นดึงออกไป ทิ้งภาพการสู้รบเบื้องหลังไว้จนลับสายตา
   “พี่ราชู...ท่านกลับไปช่วยองค์ราชาเถอะ ข้า...ไม่เป็นไร” มีร่ากล่าวทั้งน้ำตา นัยน์ตาสีฟ้าของเธอพร่ามัว น้ำเสียงของเธอสั่นไหวราวใจจะขาด
   “ไม่ได้พี่จะปล่อยให้เจ้ากับหลานของพี่เป็นอะไรไม่ได้เป็นอันขาด” ราชูจับข้อมือของผู้เป็นน้องสาวไว้แน่น
   “แต่องค์ราชา...”
   เด็กสาวผู้เป็นดั่งส่วนเกินแห่งบทสนทนาเฝ้าดูบทสนทนานั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเห็นบุรุษชุดสีน้ำเงินนั้นทรุดตัวลง หญิงสาวมองภาพนั้นอย่างตกใจเมื่อเห็นเลือดสีแดงฉานซึมออกมาจากใบหน้าของชายผู้นั้น
   “ฮ่า...ฮ่า..ฮ่า” เสียงแหบแห้งชวนขนลุกหัวเราะร่า คาดว่าคงมาจากที่ไม่ไกลนัก
“พี่ราชู...” มีร่าร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก มือของเธอกระชับกอดร่างน้อยๆ ในห่อผ้าไว้แน่น
“หนีไปก่อน...มีร่า” ราชูกัดฟันพยุงตัวขึ้นมาอย่างยากเย็น เลือดสีแดงยอมชุดสีน้ำเงินจนชุ่มโชกไปด้วยเลือดและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหล แต่กระนั้น...เจ้าตัวก็ดูเหมือนจะไม่สนใจ
มีร่าตัดสินใจหอบลูกน้อยวิ่งน้ำตาพราวไปในทิศตรงกันข้ามกับเสียงที่ดังออกมาเมื่อครู่ ทิ้งภาพการต่อสู้ไว้เบื้องหลัง...
เธอวิ่งออกมาด้วยขาอันอ่อนล้าเต็มทน ขาดทั้งจุดมุ่งหมายและทิศทาง เธอรู้พียงแต่ว่า...เธอต้องปกป้องคนที่อยู่ในอ้อมอกนี้จนถึงที่สุด...
มีร่าทรุดตัวลงข้างต้นไม้ใหญ่กอดบุตรสาวไว้แนบอก

<--:ThE--$eCret--GuilD:--> กิaaึกaัU จาก"ดาวดึงส์"
http://forum.asura.in.th/index.php?topic=13967.msg269553#msg269553


แมว...จรจัด

  • Jr. Member
  • **
    • กระทู้: 292
  • ~๐ยิ้ม๐ลับ๐ซ่อน๐ลึก๐~
ตอนที่ 1 การเดินทาง
[/size]

“เทย์...เทวิกา...”
เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นที่ข้างหูก่อนที่จะรู้สึกถึงการสั่นสะเทือนเล็กน้อยเหมือนดังการเกิดแผ่นดินไหวประมาณ 5.0 ริกเตอร์ ที่ช่วยเรียกประสาทสัมผัสที่จมอยู่ในห้วงนิทราของเทย์ให้ตื่นขึ้น
ก่อนที่เจ้าของชื่อค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ อย่างที่เรียกว่า....ไม่อยากจะตื่นเลยจริงๆ
“ขอนอนต่ออีกหน่อยนะจ๊ะ...นิโคลเพื่อนรัก” เสียงงัวเงียหลุดออกจากปากของคนขี้เซาเป็นภาษาอังกฤษอย่างคล่องปากเมื่อเห็นว่าใครคือผู้ที่อยู่ตรงหน้า
“ฉันเพิ่งจะได้นอนไปเมื่อกี้เองนิโคล กำลังฝันสนุกๆ  ไม่น่ารีบปลุกเลย” เทย์มุดหัวเข้าไปอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาที่ตอนนี้ปิดร่างในชุดนอนเพียงแค่ช่วงหัวยาวลงมาถึงกลางหลัง ส่วนท่อนร่างของเด็กสาวกำลังกอดก่ายอยู่บนตุ๊กตาแมวตัวอ้วนสีเทาที่มีรูปร่างผิดไซต์เพราะมีร่างกายเพียงท่อนเดียว คือ ช่วงหัว ตัว และสะโพก รวมกันอยู่ในรูปร่างทรงกลม มีหน้า ขา และหาง ยื่นออกมาเพียงเล็กน้อย ดูแล้วเหมือนกับลูกโป่งที่ถูกเป่าลมจนพองมากกว่าตุ๊กตา แต่ดูเหมือนผู้เป็นเจ้าของจะชอบใจนักหนา เห็นว่าเป็นของขวัญวันเกิดชิ้นแรกที่ได้รับ ซึ่งคนให้อย่างนิโคลก็อดยิ้มไม่ได้เมื่อได้ยิน
แต่ตอนนี้...คนปลุกอย่างเธอได้แต่สายหน้าช้า ๆ เมื่อมองซ้ายมองขวาก็เหลือบไปเห็นสาเหตุที่ทำให้เพื่อนตัวแสบที่ทำตัวงอแงเหมือนเด็กอนุบาลไม่ยอมตื่นไปโรงเรียน
หนังสือนวนิยายเล่มโตที่ความหนาไม่ต่ำกว่าหนึ่งนิ้วแน่ๆ ที่วางข้างที่นอน
คนที่ไม่ยอมลืมตาออกจากนิทรารมย์อยู่ในขณะนี้ น่าจะจับไปตีก้นเสียให้เข็ด
...ไม่ว่ายังไง...เทย์...ก็ยังติดนิยายไม่เปลี่ยน ไม่รู้เรียนเก่งได้ไงซิน่า
เล่มนี้ไม่เคยเห็นแฮะ คงก็จะซื้อมาเมื่อวาน...แต่ยัยนี่...คงหักโหมอ่านเมื่อคืนจนจบแล้วมั้ง และผลก็คืออย่างที่เห็น...
แล้วจะทำไงแม่คุณถึงจะยอมลุกล่ะเนี่ย...!
               วันนี้ต้องไปให้ทันด้วย...ไม่อย่างนั้นเรียนไม่จบแน่...
               อ๋อ...!
               หึ...หึ...เสร็จแน่ ไม่ลุกก็ให้รู้ไป...!!!
               “เอ่อ…โทมัสค่ะ นิโคลพยายามปลุกเทย์แล้ว แต่เขาไม่ยอมตื่นเลยค่ะ...” นิโคลเดินไปเปิดประตูห้องแล้วพูดบางอย่างให้คนในห้องได้ยิน
               “อุ๊ย…โทมัส โทมัสหรอ มาตั้งแต่เมื่อไหร่...” คนขี้เซาดีดตัวลุกขึ้นตั้งแต่ได้ยินชื่อเพื่อนชายสุดหล่อที่ตนแอบปลื้มตั้งแต่ ม. 1 ก่อนจะฉีกยิ้ม ทั้งที่ยังมัวขี้ตาสอดสายสายตาไปรอบ ๆ ห้อง
...แต่...
               ...ก็ยังไร้ซึ่งวี่แววของเจ้าของนามที่เพื่อนสาวเปล่งออกมา…
               ...ทำไมไม่มีง่ะ..!
               …หรือว่า...
               ดวงตาสีสนิมหันไปมองยัยตัวดีตาสีฟ้าก็เห็นตัวต้นเหตุที่พยายามกลั้นหัวเราะจนต้องเอามือกุมท้อง ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเพราะกลั้นไม่ไหว
               “นิโคล...นี่ เธอหลอกฉันหรอ!”
               ...ไม่นะ...หนะ...หนูไม่ยอม...
               “ก็เธออยากไม่ยอมตื่นนี่...รู้ไหมว่านี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วจ๊ะ” เทย์หันไปมองที่ผนังห้องที่แขวนนาฬิกาไว้
เข็มยาวมันชี้ที่เลข 6
               ส่วนเข็มสั้น...อยู่ระหว่างเลข 8 กับเลข 9
               “แค่แปดโมงครึ่ง” เทย์หันไปตอบเพื่อนสาวแล้วทำท่าจะนอนต่อ ก่อนที่ดวงตากลมโตสีสนิมจะขยายกว้าง
               “หา! แปดโมงครึ่ง อีก 30 นาที...ตายห่..”
               “ใช่!  เหลือเวลาอีก 30 นาทีเราต้องไปให้ถึงรถกันแล้ว...”
               ตั้งแต่คำว่า ‘ใช่!’ ของนิโคล เทย์ก็คว้าผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
               หลังจากนั้น 15 นาที คนขี้เซาก็รีบสวมเสื้อยืดและกางเกงยีนตัวเก่งสะพายเป้ใบโตวิ่งออกไป...
               วันนี้ทั้งสองต้องไปเป็นอาสาสมัครยังหมู่บ้านอันห่างไกล ซึ่งเป็นการออกค่ายชมรมอาสาพัฒนาชนบทก่อนจะจบจูเนียร์ไฮสคูล แต่ก็ดันตื่นสายซะนี่ ฤกษ์ชักไม่ดีเสียแล้วแฮะ
“มาทันพอดี!” เสียงพูดเบาๆ ของนิโคลเรียกเทย์ให้หันไปมองรถบัสปรับอากาศรุ่นนิยม ใช้พัดลมธรรมชาติตรงหน้าก่อนที่ทั้งคู่จะเดินไปนั่งเบาะหลังที่มีที่ว่างเหลือ 2 ที่พอดี               
“แหวนสวยดีนี่ เทย์...ไปซื้อมาจากไหน?” นิโคลถามขึ้นขณะที่รถบัสเริ่มเคลื่อนตัวช้าๆ และเร็วขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะวิ่งในระดับคงที่ในอัตราเต่าเรียกแม่ คือ 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง
“แหวน..! แหวนอะไร..?” นิโคลทำสีหน้าฉงนกับคำตอบของเพื่อนสาว
แต่เจ้าตัวสงสัยยิ่งกว่า...เพราะตั้งแต่จำความได้เด็กสาวไม่เคยใส่แหวนมาก่อนไม่ว่าจะเป็นนิ้วใด เพราะเห็นว่าเครื่องประดับพวกนี้เป็นสิ่งฟุ่มเฟือย เป็นการเสียเงินโดยใช่เหตุ และที่สำคัญ...มันน่ารำคาญ
    “ก็แหวนที่นิ้วกลางข้างขวาของเธอไง เทย์” นิโคลบอกพรางชี้นิ้วไปยังวัตถุต้นเหตุบนนิ้วของเจ้าตัว
“เฮ้ย! มาได้ไงเนี่ย”
               เสียงอุทานเป็นภาษาไทยของเทย์คงจะดังน่าดู เพราะคนทั้งคันรถหันมามองกันเป็นตาเดียว (อ้อ! ยกเว้นคนขับไว้อีกหนึ่งคน) แต่ตอนนี้เทย์ก็ไม่สนใจอะไรแล้ว
               นอกจากแหวนที่อยู่ในมือ แหวน..แหวนสีแดง...อัญมณีที่ใสราวกับแก้วสลักเป็นรูปนูนต่ำรูปนกกางปีก
               ภายในอัญมณีมีสีส้มที่ดูแล้ว...มัน...กำลังเคลื่อนไหวประดุจเปลวไฟมีชีวิต
                แต่มันเหมือนซ่อนอะไรบางอย่างไว้
               แหวนที่ปรากฏในฝัน...แหวนที่เปล่งประกายสีขาวสว่างไสว
...ไม่ว่ามันคือแหวนอะไร...
...แต่...
...มันมาอยู่ที่นิ้วกลางของฉันได้ไงอ่ะ... 
...หรือว่า...
 “นิโคล! เธอเอาแหวนอะไรแอบมาใส่นิ้วฉันเนี่ย?”
 “เธอจะบ้าหรอไง เทย์! นิ้วของเธอใครจะเอาไปใส่ได้ ใส่เองเมื่อไหร่ก็ไม่รู้หรือไง”
 “ถามจริงๆ เธอไม่ได้เอามันมาใส่นิ้วฉันหรอนิโคล?”
               สายตาที่มองมาตรงๆ ของนิโคลบงบอกได้เป็นอย่างดี
แล้วมันมาอยู่นี้ได้ไงอ่ะ!
หรือว่า...
แหวนผีนี่...ต้องถอดมันออก...
“เป็นอะไรอ่ะเทย์...! เดี๋ยวนิ้วก็ช้ำหมดหรอก”
“ก็มันถอดไม่ออก...” ไอ้แหวนผีนี่ถอดยากชะมัด
 “แหวนนี้ก็สวยดีนี่ เธอจะถอดทำไมอ่ะเทย์ ดูแล้วน่าจะเป็นแหวนที่เก่ามากด้วยน่ะ”
 “เอ๊ะ! เทย์ มันมีอักษรภาษาอะไรก็ไม่รู้อยู่บนแหวนด้วย ดูสิ..!”
ตัวอักษรประหลาดที่ว่าขีดเป็นเส้นๆ วกไปวนมา ไม่เหมือนกับตัวอักษรภาษาใดๆ ที่เคยเรียนรู้มาเลยสักนิด ไม่ใช่จีน ญี่ปุ่น เขมร หรืออิยิป แต่มันเป็นอักษรภาษาอะไรกันล่ะ
...แต่ที่แปลกก็คือ  เทย์กลับรู้สึกคุ้นๆ ราวกับเคยเห็นมาก่อน
            มันคุ้นเคย คุ้นเคยจริงๆ นะ
             
             
 “โอ๊ย! ทำไมมันถึงได้เหนื่อยอย่างนี้น่ะ”
            เสียงโอดครวญของนิโคลดังขึ้นหลังจากต้องเดินเท้าเข้าป่ามาทั้งวันเพื่อเข้าไปยังหมู่บ้านที่ห่างไกลทำให้เทย์ยิ้มอย่างเห็นใจ ถึงแม้นิโคลจะมีความตั้งใจเต็มเปี่ยมขนาดไหน แต่...บุตรสาวของนายทุนเงินหนาที่สุดของเมืองก็คงจะไม่เคยได้รับความลำบากอย่างนี้มาก่อนเป็นแน่ แค่นั่งรถปรับอากาศรุ่นนิยม ใช้พัดลมธรรมชาติ ที่ครูหัวหน้าชมรมจัดหามาเพื่อให้นักเรียนได้สัมผัสบรรยากาศใหม่ๆ นี่ ก็อัศจรรย์ใจมากแล้ว
มันต่างอย่างสิ้นเชิงกับเด็กกำพร้า จะต้องดิ้นรนมาตั้งแต่จำความได้อย่างเทย์ เธอเติบโตมาจากสถานสงเคราะห์ที่โชคดีได้พ่อบุญธรรมที่แสนจะใจดีส่งเสียให้เรียนถึงโรงเรียนนานาชาติแห่งนี้ทั้งที่ราคาค่าเทอมมันแสนแพง และมันทำให้เทย์ได้พบกับนิโคลลูกสาวแท้ๆ ของพ่อบุญธรรม นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เทย์กับนิโคลก็กลายเป็นช้อนกับส้อม ถ้าขาดใครคนใดคนหนึ่งมันก็จะขาดความสมดุล และทำให้ขาดรสชาติ
"นี่...คิดอะไรอยู่เทย์"
นิโคลมองอย่างสงสัยในตัวเพื่อนสาวที่เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตอบกลับมาสักที ก่อนจะรีบทรุดตัวลงทันทีที่คนนำทางบอกว่าให้พัก
 “เปล่า ว่าแต่เธอทนได้ไหมนิโคล นี่แค่วอร์มอัพเองนะ วันพรุ่งนี้หล่ะถึงจะเป็นของจริง” เทย์มองหน้าของนิโคลที่ดูขาวซีดกว่าปกติ แต่วันนี้เย็นมากแล้ว คงได้เวลาเลิกเดินและตั้งแคมป์ นิโคลไม่น่าจะเป็นอะไรแล้วหล่ะ
เทย์มองไปรอบๆ ป่ากว้างที่หาดูได้ยากในปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ที่นำทางบอกไว้ก่อนที่คณะเดินทางจะได้เดินทางเข้ามาว่า ปัจจุบัน จำนวนสัตว์และต้นไม้ในประเทศเหลืออยู่น้อยเต็มที เพราะพวกบรรดานายทุนเงินหนาแต่จิตสำนึกต่ำจ้างชาวบ้านซึ่งขาดความรู้และมีความละโมบเข้ามาตัดต้นไม้และล่าสัตว์ในเขตป่าสงวนซึ่งเป็นสมบัติของชาติ และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเธอเห็นสัตว์ป่าระหว่างทางน้อยมาก จะเห็นก็เพียงพวกกวางฝูงเดียว กับช้างอีกโขลง
ครูที่เคยเข้ามาในป่าแห่งนี้บ่อยๆ ยังบอกอีกว่า สัตว์นักล่าพวกเสือนั้นคงมีไม่ถึงสามตัวในป่าแห่งนี้ หากอยากเห็นละก็ ที่สวนสัตว์คงมีมากกว่า ดังนั้น อันตรายที่จะเกิดขึ้นจากสัตว์ป่าจึงแทบไม่มี
“เสือมีเพราะป่าปรก ป่ารกเพราะเสือยัง ป่ายังเพราะเสือมี” ประโยคที่จำได้อย่างเลือนรางที่เคยได้ยินเมื่อนานมาแล้วผุดขึ้นมาในหัว
ถ้าขนาดเสือผู้เฝ้าปกป้องป่ายังถูกล่า แล้วใครกันละจะปกป้องป่าได้....
ในเมื่อมนุษย์เองคือผู้ทำลายธรรมชาติ ทำลายบ้าน ทำลายแหล่งอาหารของตนเอง แล้วยามที่เกิดภัยพิบัติ ทั้งน้ำป่า น้ำท่วม แผ่นดินไหว ดินถล่ม ฝนแล้ง ไฟป่า ยังจะมัวโทษธรรมชาติกันอยู่อีกหรือ
จะโทษใครได้ละ...ถ้าไม่ใช่มนุษย์กลุ่มเล็กๆ แต่มีอำนาจพวกนั้น
หนทางแก้...คงมีเพียงแค่ให้ทุกคนช่วยกันสอดส่องดูแล แต่ก็อย่างว่า...
ป้องกันนั้นยากกว่าทำลายเสมอ
“เทย์...” เสียงของนิโคลดังขึ้นพร้อมแรกกระตุกที่มือขวาเพื่อให้เทย์นั่งลงเคียงข้าง
“เธอดูไม่ค่อยเหนื่อยเลยน่ะ...ไม่เหนื่อยบ้างเลยหรอ เธอนี่มันยอดมนุษย์จริงๆ ดูคนอื่นสิ” ทั้งคู่กวาดสายตามองเพื่อนร่วมทางร่วมสี่สิบคนที่พากันนั่งลงอย่างหมดแรง บางคนดึงเอาพัดลายฉลุของคุณหญิงป้าออกมาพัดวีระบายความร้อน บางคนนั่งหลับพิงต้นไม่อย่างหมดแรงโดยไม่กล้านอนราบลงกับพื้น และอีกหลายคนกำลังกระดกน้ำลงลำคอที่แห้งผากอย่างกระหาย และมีไม่น้อยเลยที่พบว่ากระบอกน้ำที่พกมานั้น ไม่เหลือหยดน้ำให้พวกเขาได้ประทังความกระหายอีกต่อไปแล้ว
เทย์ที่ดื่มน้ำระหว่างทางเพียงน้อยนิดเพราะคำเตือนของเจ้าหน้าที่ หยิบยื่นกระบอกน้ำของตนให้พวกเพื่อนๆ อย่างเต็มใจ โดยไม่ลืมเตือนให้ดื่มแค่พอประทังความกระหาย เพราะยังมีเพื่อนอีกหลายคนต้องการมัน
เทย์นึกขันตัวเองอยู่ไม่น้อย กว่าที่ตนเองจะทำให้พวกเพื่อนๆ ผู้มีอันจะกินเหล่านี้ยอมรับได้ มันเป็นเวลาเกือบสามปีทีเดียว เกือบสามปีที่เธอถูกคนพวกนี้กลั่นแกล้ง แต่สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ยอมรับเธอและเธอก็ให้อภัย
ตอนนี้เธอสามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า พวกเขาคือเพื่อน...เพื่อนที่เธอรัก
    “ที่ฉันไม่ค่อยเหนื่อยอาจเป็นเพราะฉันชินกับงานหนักพวกนี้อยู่แล้วก็ได้” เทย์ตอบพร้อมรอยยิ้มบางๆ หากสายตาของเธอกลับทอดมองไปยังผืนป่าเบื้องหน้า ที่เธอเพิ่งเห็นนกเงือกตัวหนึ่งเพิ่งผละออกมาจากโพรงเล็กๆ ที่เทย์เดาได้เลยว่า ข้างในนั้นต้องมีนกเงือกตัวเมียและนกเงือกตัวน้อยๆ อีกสองสามตัวกำลังรออาหารจากตัวที่เพิ่งผละออกมาอย่างหิวโหยอยู่แน่ๆ เทย์รู้สึกเกลียดพวกที่ดักจับหรือฆ่านกเงือกมากที่สุด เพราะหากนกเงือกตัวผู้ถูกจับหรือตายไป นั่นหมายถึง ต้องมีนกเงือกอีกหลายตัวที่ต้องกลายเป็นเหยื่อสังเวยความโหดร้ายของมนุษย์
    “ฉันขอโทษนะ...ฉันลืมไปว่าเธอ...” เทย์ส่ายหน้าอย่างไม่เคยถือโทษ ก่อนหน้าที่เทย์จะได้ไปอยู่บ้านเดียวกับนิโคลเมื่อสามปีก่อน เทย์ที่อายุได้ 12 ปี มักจะแอบออกจากสถานสงเคราะห์ ไปรับจ้างตามร้านค้า หรือแม้แต่ปลอมตัวเป็นเด็กผู้ชายไปขอทำงานแบกกระสอบข้าวสารตามโรงสี เพื่อหาเงินมาเป็นทุนรอนในการเรียนต่อชั้นมัธยมที่สถานสงเคราะห์ไม่สามารถส่งเสียได้ ตอนแรกๆ ไม่มีใครจ้างเธอเลยสักคน แต่เมื่อเธอบอกเหตุผล เธอก็พบว่า คนที่มีน้ำใจยังคงมีอยู่ในสังคมที่เหลวแหลก ซึ่งมันหาได้ยากแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี และเธอก็พบคนดีๆ แบบนี้อยู่เสมอ...


 “ทางข้างหน้าก็เป็นหมู่บ้านแล้วครับ” เสียงเจ้าหน้าที่นำทางร้องบอกอยู่ข้างหน้าประดุจเสียงสวรรค์ของใครหลายๆ คน
“ในที่สุดก็ถึงเสียที ฉันไม่แปลกใจเลยนะเทย์ว่าทำไมคนที่นี่ถึงไม่ค่อยได้รับความเจริญ เพราะมันเข้ามาลำบากอย่างนี้นี่เอง” นิโคลถอนหายใจ แต่ฝีเท้ากลับเร่งขึ้นราวกับคำบอกของเจ้าหน้าที่เป็นยาดีที่ทำให้เธอเกิดความหึกเหิม
    “ถ้าอยากต้องการให้ชาวบ้านพวกนี้ได้รับความเจริญจริงๆ ให้คนในเมืองสามารถเข้าถึงได้ง่ายๆ ก็เพียงแค่ตัดถนนเข้ามาก็เรียบร้อยแล้วนิโคล..” ลีน่าเพื่อนสาวอีกคนกล่าวด้วยใบหน้าแดงกรำแดด ใบหน้าของเธอชื้นไปด้วยเหงื่อซึ่งเป็นภาพที่หาดูได้ยากหากอยู่ในเมือง
   พี่ชายของลีน่าเป็นวิศวกรโยธาที่มีชื่อเสียง ส่วนพ่อของเธอเป็นประธานบริษัทรับเหมาก่อนสร้างยักษ์ใหญ่ เทย์แน่ใจเลยว่าตอนนี้ลีน่ากำลังนึกภาพการตัดถนนเข้ามายังพื้นที่ห่างไกลแห่งนี้
        “ถ้างั้น...ฉันให้พ่อลงทุนให้พี่ชายเธอออกแบบคุมงานแล้วก็ให้พ่อเธอจัดสรรพัสดุ มาจัดการตัดถนนเข้ามาเลยดีกว่า..”
 “ไม่ได้นะนิโคล..!” เทย์ค้านเสียงหลงทันทีที่ได้ยินคำพูดของเพื่อนสาวที่มีศักดิ์เป็นพี่น้องตามกฏหมาย
  “ทำไมอ่ะ..!”
   “เธอรู้หรือเปล่า ว่าการที่เธอทำให้คนพวกนี้เจริญขึ้นเหมือนพวกเราอะไรจะเกิดขึ้น” นิโคลสายหน้าด้วยความสงสัย ก่อนจะเอ่ยคำถามที่หลายๆ คนต่างก็ต้องการคำตอบและพากันเดินเข้ามาใกล้ๆ เพื่อฟังอย่างสนใจ
  “การพัฒนาคนที่นี่มันมีข้อเสียยังไง”
 “ที่จริงการพัฒนามันก็ดีอยู่ แต่เธอเคยสังเกตไหมว่า... ในปัจจุบันบ้านเมืองมันเจริญก็จริง คนเราขึ้นไปบนดวงจันทร์ได้ สร้างระเบิดที่มีอำนาจทำลายล้างมหาศาลได้ แต่มันก็เป็นเพียงความเจริญทางวัตถุเท่านั้น มันไม่ช่วยให้เกิดความเจริญทางจิตใจได้เลย และเธอรู้ไหมว่าการที่ป่าถูกทำลายมากขึ้นก็เพราะความเจริญนี่หล่ะ...”
“มนุษย์เป็นสัตว์ที่ไม่รู้จักพอ นิโคล พวกเราต้องการการขยายอาณาเขต ต้องการแหล่งอาหาร จนกลายเป็นการรุกรานสัตว์อื่นๆ ที่อาศัยบนโลกสีฟ้าใบนี้ ถึงแม้มนุษย์จะไม่มีเขี้ยว ไม่มีเล็บ อย่างสัตว์ทั้งหลาย แต่มีมนุษย์มีมันสมอง มีความคิด และนั่นทำให้มนุษย์สรรสร้างอุปกรณ์นานาชนิดขึ้นมาต่อกรกับธรรมชาติ จนกลายเป็นการทำลายความสมดุล การตัดถนนเข้ามาหรือการนำความเจริญเข้ามา ก็ไม่ต่างกับการเชิญชวนให้มนุษย์ผู้มีความมักง่ายเข้ามาทำลายแหล่งธรรมชาติให้กลายเป็นแหล่งเสื่อมโทรม เธอคงเคยเห็นแหล่งธรรมชาติพวกน้ำตกหรือทะเลที่สวยงามทั้งหลายแล้วไม่ใช่หรือ ผู้คนที่รู้ข่าวต่างพากันไปเยี่ยมชมราวกับรักธรรมชาติอันสวยงาม แต่ก่อนกลับพวกเขากลับทิ้งเศษขยะอันน่าขยักแขยงทิ้งไว้ จนสถานที่สวยงามกลายเป็นแหล่งที่ไม่น่าพิสมัย จนคนรุ่นหลังขาดโอกาสที่จะได้เห็นความงดงามของธรรมชาติที่มีเพียงแต่ธรรมชาติเท่านั้นที่จะสร้างสรรค์ขึ้นมาได้...” เทย์อธิบายยาวเหยียดน้ำเสียงกรุ่นโกรธ จนดวงตาวาววับแบบแปลกๆ แต่ทว่ากลับไม่มีใครสนใจ
            “มันก็จริงของเธอ แต่ความรู้ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่ใช่หรือ ไม่งั้นพวกเราจะดั้นด้นเดินทางมาถึงที่นี่กันทำไมกัน” ลีน่าพูดแทรกขึ้นมาด้วยอารมณ์ผสมความเหนื่อย
 “พวกเรา เข้ามาให้ความรู้และพัฒนาพวกเขาในฐานะของเพื่อนมนุษย์ยังไงละ อันที่จริงพวกเขาก็มีภูมิปัญญาอย่างพวกทางการแพทย์เหมือนกันนะ ก็พวกสมุนไพรที่เป็นของหาได้ง่ายจากในป่า...”
               “...เธอดูนั่นสิ! บางบ้านเขายังปลูกสมุนไพรไว้เลยเห็นไหม! แต่อันที่จริง...จะว่าความความเจริญอย่างเดียวก็ไม่ได้...เพราะตัวการที่แท้จริง ก็คือมนุษย์อย่างเราๆ นี่หล่ะ”
    “เธอนี่รู้เรื่องพวกนี้ได้ไง วันๆ เห็นอ่านแต่นิยาย” นิโคลมองเพื่อนสาวที่มีความคิดเกินวัย
“แหม! อย่างอื่นฉันก็อ่านย่ะ” เทย์ทำหน้างอนเหมือนเด็กจนนิโคลอดไม่ได้ที่จะหยิกแก้มทั้งสองข้างของเทย์อย่างหมั่นเขี้ยว
    “ความจริงเธอไม่น่าอยากเป็นหมอเลยนะ...น่าจะอยากเป็น...”
 “เป็นอะไร...พูดดีดีนะนิโคล” เทย์ขู่อย่างไม่จริงจังพรางหยิกแก้มเพื่อนสาวคืน
    “เป็น...นักอนุรักษ์ธรรมชาติ นักสังคมสงเคราะห์ หรือไม่ก็นักปกครองไปเลยไง...” นิโคลรั้งมือเทย์ออกแล้ววาดมือตนเองไปในอากาศ
    “จะให้ฉันไปปกครองใครล่ะ ไปทางโน้นดีกว่าชาวบ้านรออยู่ ไปเหอะ” เทย์เห็นท่าเพื่อนจะละเมอเพ้อพกไปใหญ่เลยจับแขนทั้งสองข้างของเพื่อนสาวมาไว้ในมือเสีย แล้วลากไปทางที่ชาวบ้านและเพื่อนๆ รออยู่
             
             
“เทย์..ทำไมมานั่งตรงนี้คนเดียว” เสียงที่ดังมาจากความมืดทำให้คนที่นั่งเหม่อมองท้องฟ้ายามราตรีอันเงียบสงัดตกใจจนเกือบขว้างท่อนไม้ที่เขี่ยไฟเล่นอยู่ในมือออกไปเสียแล้ว หากไม่ติดว่าเสียงนั้นเป็นเสียงที่ตนคุ้นเคย
 “อ้าว!  นิโคล” เป็นเสียงของนิโคลที่ช่วยปลุกเทย์ออกจากห้วงความคิดอันหลากหลายที่ตีกันวกวนอยู่ในหัว ทั้งเรื่องแหวนประหลาดที่อยู่ในมือตอนนี้ และเรื่องความฝันประหลาดที่ยังคงหลอกหลอนอีก
    “ชาวบ้านที่นี่น่ารักดีนะนิโคล...สมุนไพรบางตัวก็ดูน่าสนใจมากด้วย” นิโคลยื่นมือข้างที่มีพืชใบเขียวชนิดหนึ่งมาให้เพื่อนสาวดู
    “ใช่...บางตัวเป็นสมุนไพรที่หายากมาก ๆ เลย แต่พวกชาวบ้านยังไม่รู้จักวิธีใช้ที่ดีพอ” เทย์ละมือจากท่อนไม้แล้วรับพืชสมุนไพรในมือเพื่อนสาวมาดู มือบางปลิดใบออกมาหนึ่งใบ แล้วส่งใบที่เหลือคืนผู้ที่นำมันมาก่อนจะขยี้ใบในมือจนน้ำสีเขียวเปรอะมือบาง เจ้าของมือจึงยกมือขึ้นดมกลิ่นหอมๆ ของมิ้นท์ที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย
“เทย์!” จู่ๆ นิโคลก็เรียกชื่อเทย์ออกมา ทั้งที่ทั้งคู่นั่งเงียบไปพักใหญ่
    “หือ” เทยย์ขานรับ
    “คืนนี้... พระจันทร์สวยดีเนอะ”
    “อืม...อยู่ในเมืองเราไม่มีโอกาสได้เห็นพระจันทร์ท่ามกลางหมู่ดาวอย่างนี้หรอก สีของหลอดไฟนีออนบดบังแสงสีแห่งความมหัศจรรย์ในธรรมชาติไปเสียหมด” เด็กสาวพูดตอบอย่างดื่มด่ำกับธรรมชาติตรงหน้า
    “เทย์..เธอเคยคิดที่จะ..ตามหาพ่อแม่ที่แท้จริงของเธอไหม?”
    “ฉันขอโทษ ฉันไม่ควร...” นิโคลคงเห็นสีหน้าเศร้าๆ ของเทย์ที่สะท้อนจากแสงมัวๆ ของก่องไฟที่อยู่ตรงหน้าถึงได้รีบพูดขอโทษเธอทันที
“ไม่เป็นไร นิโคล...คิดสิฉันคิดถึงท่านเสมอ”
               ...แผ่นดินกว้างใหญ่พวกท่านอยู่ที่ไหนหนอ พวกท่านจะคิดถึงลูกคนนี้บ้างหรือเปล่า...
 “ให้ฉันช่วยเธอตามหาให้เธอไหม...” นิโคลทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ พร้อมทั้งโอบไหล่เทย์ไว้อย่างปลอบใจ เหมือนทุกครั้งที่คนใดคนหนึ่งร้องไห้เสียใจ อีกคนจะต้องเข้ามาปลอบแบบนี้เสมอ
ถ้าคนอื่นมาเห็นภาพของเราสองคนตอนนี้...สงสัยว่าจะต้องมีคนคิดว่าเราสองคนเป็นทอมกับดี้แน่ๆ เลย
               “หัวเราะอะไรเทย์”
นิโคลถามขึ้นก่อนจะรีบปิดปากอันเป็นการบ่งบอกว่ากำลังง่วงได้ที่
 “ไม่มีอะไรหรอกนิโคล...ขอบใจนะที่จะช่วย...ถ้าเธอง่วงก็ไปนอนก่อนเถอะ”
 “เธอก็อย่านอนดึกนะเทย์..เดี๋ยวจะเป็นหวัด...ฮะ…ฮัด...ฮัดเช่ย!”
เทย์ยิ้มรับกับความห่วงใยที่นิโคลมีให้..แต่สงสัยคนบอกจะเป็นเองเสียแล้ว
นิโคลพยักหน้ารับคำ เด็กสาวลุกขึ้นปัดเศษใบไม้และฝุ่นที่เกาะติดกางเกงขายาวตัวหนาออก แล้วก้าวยาวๆ ห่างจากกองไฟไป
               “เอ่อ...นิโคล” เพื่อนสาวหันหลังกลับมาหาทันที
“มีอะไรหรอ เทย์” ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้เทย์เรียกเพื่อนสาวไว้
               “ฉันดีใจนะที่ฉันได้มีเพื่อนดีๆ อย่างเธอ ฉันรักแกนะ นิโคล เพื่อนรัก”
เทย์ลุกแล้วเดินไปกอดคอเพื่อนรักด้วยความรู้สึกแปลกๆ รู้สึกเหมือนกับว่าถ้าเธอไม่ทำตอนนี้เธออาจจะไม่ได้ทำอีกแล้ว
 “เกิดนึกพิศวาสอะไรฉันขึ้นมาว่ะ ถึงได้มาน้ำเน่ากลางป่ากลางเขาเนี่ย ดูดิ...ขนลุก แต่ก็...เออ ฉันก็รักแกว่ะเทย์ แกอย่าร้องสิ”
กลายเป็นว่าเราสองคนยืนกอดคอร้องไห้กันพักใหญ่ทีเดียวก่อนที่ฉันจะบอกให้นิโคลกลับไปนอน
             
             
...ดูเหมือนว่าวันนี้ดวงจันทร์จะดูสว่างกว่าทุกที หรือว่าจะเป็นพระจันทร์ทรงกลดที่เคยได้ยินมานะ...
หลังจากนิโคลกลับไป เทย์จึงกลับมานั่งมองท้องฟ้าอยู่ที่เดิม ไม่รู้ทำไมแต่เทย์รู้สึกว่า เธออยากจะนั่งมองท้องฟ้าอยู่อย่างนี้ ท้องฟ้าวันนี้ดูกระจ่างใสกว่าทุกวัน ดาวเป็นล้านๆ ดวงพากันส่องแสงระยิบระยับเย้าเล่นกับดวงจันทร์ที่ขับแสงออกมาราวกับกลัวน้อยหน้า...
...อีกหนึ่งนาทีจะเที่ยงคืน อีกหนึ่งนาที จะเป็นวันเกิดครบรอบ 15 ปี วันเกิดที่เงียบเหงา...
...นิโคลคงจะลืมมันไปแล้ว...
 “5...4...3...” เทย์ยกมือขึ้นนับถอยหลังให้กับตัวเองเงียบๆ
 “...2...1...” ฝนดาวตกตกลงมาจากท้องฟ้าส่องประกายสว่างไสว
เทย์ยิ้มให้กับตัวเอง
 “ปีนี้อย่างน้อย ธรรมชาติก็มอบของขวัญล้ำค่าให้เรา ขอบใจนะ...ธรรมชาติ...”
และแล้วเด็กสาวก็เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติ...
...ดูเหมือนว่าฝนดาวตกครั้งนี้จะตกที่บริเวณนี้มากเป็นพิเศษ
แสงเล็กๆ จากดาวตกนับหมื่นนับแสนล้านดวงส่องประกายเต็มท้องฟ้าจนเกิดเป็นแสงสว่างเจิดจ้า
...เทย์รู้สึกราวกับว่า…แสงเล็กๆ เหล่านั้นกำลังวิ่งเข้ามาหาตน
เทย์วิ่งหนีอย่างสุดชีวิตไปในทิศตรงกันข้าม...นี่มันอะไรกันเนี่ย!
แสงสว่างวาบขึ้นที่นิ้วกลางข้างขวา  แสงสว่างจากวัตถุเล็ก ๆ ที่เรียกว่า “แหวน” ทันทีที่มันถูกอาบด้วยแสงจันทร์ทรงกลด และดูเหมือนว่าสะเก็ดดาวเหล่านั้นจะพุ่งเข้าใส่ตัวแหวน
แสงของมันที่เปล่งประกายออกมาเจิดจ้าจนแสบตา จนเทย์ไม่กล้าที่ลืมตาสู้ พร้อมๆ กับความรู้สึกที่เหมือนถูกสูบไปสู่วังวนบางอย่าง รู้สึกราวกับว่าร่างกายถูกบีบอัดอย่างแรง จนกระดูกแทบจะหลุดออกมานอกเนื้อ...
 “เทย์...เทย์หายไปไหนแล้ว เมื่อกี้ยังเห็นอยู่เลย ว่าจะมาอวยพรวันเกิดซักหน่อย...ทุกคนใครเห็นเทย์บ้าง ช่วยกันหาเทย์หน่อยเร็ว ไม่รู้ไปแอบที่ไหน ชอบหนีอยู่เรื่อยเวลารู้ทันว่าเรามีเซอร์ไพรส” เสียงคุ้นหูดังขึ้น
 “ช่วยด้วย!!!” เสียงที่เปล่งออกไปเบาราวกับเสียงกระซิบ...
...เสียงเพื่อนๆ ค่อยๆ ลอยห่างออกไปทุกที...
สัญชาตญาณลึกๆ บอกกับเธอว่า เธอจะไม่มีวันได้พบกับพวกเขาอีกแล้ว เสียงสุดท้ายที่บ่งบอกว่าเพื่อนๆ พยายามตามหาเธอเพื่อที่จะฉลองวันเกิดให้ ทำให้น้ำตาของเธอไหลไม่หยุดอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ ก่อนที่สติของเธอจะเริ่มพล่าเลือน และดับวูบไปในที่สุด...

<--:ThE--$eCret--GuilD:--> กิaaึกaัU จาก"ดาวดึงส์"
http://forum.asura.in.th/index.php?topic=13967.msg269553#msg269553


แมว...จรจัด

  • Jr. Member
  • **
    • กระทู้: 292
  • ~๐ยิ้ม๐ลับ๐ซ่อน๐ลึก๐~
ตอนที่ 2 แฟร์แลนเทียร์

“ที่นี่ที่ไหน!” เทย์กวาดสายตามองดูไปรอบๆ ด้วยความหวาดกลัว ความมืดมิดและว่างเปล่าคือสิ่งที่เธอสัมผัสได้
เธอไม่ชอบมันเอาเสียเลย ความมืดแบบนี้
มันมืดเสียจนเด็กสาวไม่แน่ใจว่าตนเองลืมตาอยู่หรือไม่ หรือว่าเธอจะสูญเสียดวงตาทั้งสองข้างไปแล้วกับแสงสว่างจ้าเมื่อครู่ ความรู้สึกเจ็บจากฝ่ามือที่กำแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อทำให้เธอรู้ว่าตนเองยังมีชีวิต ถึงแม้จะมองไม่เห็นแม้กระทั่งฝ่ามือที่เทย์แน่ใจว่ายกสูงขึ้นมาจรดจมูกจนได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ
มือทั้งสองข้างคลำพื้นด้านล่าง พบเพียงความเย็นเฉียบ เทย์แน่ใจว่ามันเป็นหิน บางทีเธออาจจะอยู่ในถ้ำ ซึ่งนั่นคงจะไม่แปลกเท่าไหร่หากเธอจะพบว่ามันมืดมิดขนาดนี้
ปัญหาเรื่อง...เธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรถูกพับเก็บเอาไว้ ด้วยยังไม่ต้องการที่จะนึกถึง
เหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นนั่น มีแต่จะทำให้เธอรู้สึกปวดหัวเปล่าๆ
ตอนนี้...เธอต้องหาทางออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
สองมือคลำพื้นไปมาราวกับคำตาบอด ในใจของเธอเฝ้าภาวนาให้พบกับทางออก จนมือที่เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นและดินปะกับผนังด้านหนึ่งของถ้ำ เด็กสาวตัดสินใจลุกขึ้นยืนและเดินเลาะผนังถ้ำไปอย่างระมัดระวัง
...ขออย่าให้ต้องเจอะเจอกับตัวประหลาดแบบที่เคยอ่านเจอในนิยายก็แล้วกัน...
ความมืดทำให้เทย์อดจินตนาการถึงพวกสัตว์ประหลาดที่มักจะโผล่ขึ้นมาไม่ได้ และนั่นยิ่งทำให้เท้าที่เดินอย่างไม่มั่นใจอยู่แล้วลดความมั่นใจที่จะก้าวเดินต่อไปอีก
 “ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย...” เสียงแหบๆ ชวนขนลุกดังขึ้นทำเอาเทย์ชะงักฝีเท้า
“ใครน่ะ...!” เสียงของเทย์ดังก้องไปในความมืด
“ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย!” เสียงนั้นดังขึ้นมาอีกราวกับว่าเจ้าของเสียงไม่ได้ยินเสียงของเด็กสาว เทย์เริ่มตั้งสติ...อาจจะเป็นคนก็ได้...
“คุณอยู่ที่ไหนล่ะ” เธอถามอีกครั้งหากแต่เธอก็ไม่ได้รับคำตอบ อีกฝ่ายยังคงพูดด้วยประโยคเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา จนความรู้สึกรำคาญเข้ามาแทนที่ความกลัวของเธอเสียสิ้น
“ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย!” เทย์เดินไปตามทางที่คิดว่าเสียงดังมาจากทางนั้นด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
...แสงสว่างนี่...
เทย์รีบเดินไปทางแสงที่เห็นนั้นทันทีจนกลายเป็นวิ่ง ในใจเริ่มรู้สึกปีติที่เห็นแสงสว่างอยู่รำไร
...กึก...
...เด็กสาวเบรกแทบไม่ทัน กับสิ่งที่เธอเห็นอยู่เบื้องหน้า
ผลึกน้ำแข็งสีฟ้าใสสูงกว่าสองเมตร กว้างกว่าหนึ่งเมตรตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางผลึกสีอื่นๆ อีก 6 สี คือ สีน้ำตาล สีแดง สีน้ำเงินเข้ม สีขาวขุ่น สีทอง และสีเขียว ซึ่งทั้งหกสีมีขนาดเล็กกว่า ผลึกสีฟ้าใสที่อยู่ตรงกลางถึงสิบเท่า ผลึกทั้งหกมีเส้นแสงสีรุ้งเชื่อมต่อกัน ราวกับที่กั้นเขตหวงห้ามมิให้ใครเข้าไปใกล้ผลึกตรงกลางนั่น แต่สิ่งที่ทำให้เทย์ตกใจไม่ใช่เพราะความสวยงามของพวกมัน...แต่มันเป็นเพราะ...สิ่งที่อยู่ในผลึกตรงกลางนั้นต่างหาก
...ร่างมนุษย์แน่ๆ...
ร่างของชาย...วัยกลางคน ผมสีม่วงเข้มเกือบดำ มีรอยสักรูปกะโหลกอยู่ที่หน้าผาก เขาแต่งกายด้วยชุดสีดำสนิทดูน่ากลัว...
และความรู้สึกที่เด็กสาวรู้สึกได้คือ...อันตราย
“ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย!”
...เสียงนั่น...
เทย์มองร่างในผลึกอย่างตกตะลึงเมื่อมองเห็นว่าร่างนั้นลืมตาขึ้นมาช้าๆ...
...ดวงตาสีม่วงที่ยากจะหยั่งลึกคู่นั้นกำลังจ้องมาที่เธอ...
มันไม่ใช่สายตาอ้อนวอนดังเสียงที่เธอได้ยิน...ดวงตาคู่นั้นมีแต่ความอาฆาต พยาบาท โกรธแค้น และจ้องทำลายล้าง ที่ทำให้เทย์รู้สึกหนาวไปจนสุดขั้วหัวใจ
“กรี๊ด!” เทย์ถอยหลังกลับแล้วหลับตาวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต...
...นี่มันอะไรกัน อะไรเกิดขึ้นกับฉันกันแน่...
“โอ๊ย!”
เทย์ล้มลงหัวคะมำ เมื่อเท้าสะดุดกับบางสิ่ง...
“เคร้ง! พึบ! โอ๊ย” เสียงโลหะกระทบกันที่มาพร้อมๆ กับเสียงร้องระงมอันแสนเจ็บปวดดังแว่วเข้าสู่โสตประสาทของหญิงสาวอีกครั้ง ทำให้เธอลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ในขณะที่มือก็คลำหน้าผากที่จูบพื้น มันคือภาพที่เทย์เคยฝันเห็น...
   สมรภูมิรบขนาดย่อมท่ามกลางป่ากว้าง
กองกำลังสองกลุ่มกำลังต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย...
กองกำลังกลุ่มแรกแต่งกายเหมือนกันในชุดสีขาวบางคนถือดาบ บางคนถือไม้คทาที่มีลำแสงปล่อยออกมาทุกครั้งที่ยกขึ้นและมักจะเกิดเหตุการณ์บางอย่างตามมาด้วย เช่น สายน้ำพุ่งออกมา หรือแม้แต่เปลวเพลิงก็ตามที กองกำลังกลุ่มนี้กำลังปกป้องบุรุษในชุดเสื้อคลุมยาวสีขาวขลิบทองผู้ถือไม้คทาสีทองด้ามสั้นกว่าที่ควรจะเป็นที่ดูราวกับบาดเจ็บไม่น้อยกับสตรีชุดสีฟ้าสดใส ในมือของเธอนั้นมีห่อผ้าสีขาวอุ้มไว้แนบอกบอกให้รู้ว่าเป็นสิ่งสำคัญยิ่งชีวิต...
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งนั้นรวดเร็วและน่ากลัว เหมือน...เหมือน...เหมือนปีศาจกระหายเลือดที่พร้อมจะทำลายทุกสิ่งที่ขวางทางและดูเหมือนสิ่งที่มันต้องการคือห่อผ้าสีขาวในมือของสตรีชุดฟ้านั่นเอง
   “ราชู ท่านจงพามีร่าและธิดาแห่งเราหนีไปก่อน” บุรุษร่างองอาจข้างสตรีนางนั้นกล่าวขึ้นกับบุรุษที่อยู่ในชุดเสื้อคลุมสีน้ำเงินที่ดูแตกต่างจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง ผมสีน้ำเงินยาวจรดกลางหลังของเขาเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ
   “...แต่ว่า...ท่านคนเดียวสู้ไม่ไหวหรอก ลงได้จตุรทูตมากันครบแบบนี้ แล้วยังจะ...”
   “ข้าบอกให้ไป!” เสียงทรงอำนาจตวาดลั่นก่อนจะชักดาบขึ้นมาแทนคทาสีทองที่หักเป็นสองท่อนวิ่งไปสู่สมรภูมิรบอันดุเดือด ผมสีทองของเขาลู่ไปตามลมเพราะความเร็วอันเหลือเชื่อของร่างกายที่พุ่งออกไป
   “ท่านพี่...!” สตรีผมสีฟ้านางนั้นร้องเรียก น้ำตาของเธอหลั่งลงมาเป็นสาย ก่อนจะถูกบุรุษชุดเสื้อคลุมสีน้ำเงินนั้นดึงออกไป ทิ้งภาพการสู้รบเบื้องหลังไว้จนลับสายตา
   เทย์เบือนหน้าหนีและหลับตาลง...ด้วยรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น รับรู้ได้ถึงความโศกเศร้าของหญิงคนนั้น ที่ต้องจากชายคนรัก และเห็นพี่ชายต้องทนทุกข์ทรมานด้วยบาดแผลฉกรรจ์
“เทเรเซียลูกรัก” เสียงสะอื้นแต่อ่อนโยนนั้นเรียกให้เทย์หันไปมองภาพตรงหน้า
“แม่คงปล่อยให้องค์ราชาแอเรียสบิดาของเจ้า และพี่ราชูเป็นอะไรไปมิได้...” นางลูบผมลูกสาวอย่างแผ่วเบา เทย์รับรู้ถึงความอบอุ่นที่นางมีต่อบุตรจนรู้สึกตื้นตัน มีร่าถอดสร้อยเส้นเล็กๆ ออกจากคองามระหงส์ อัญมณีสีฟ้ารูปหยดน้ำดูงดงามล้ำค่านั้นสะกิดใจเทย์ จนหญิงสาวต้องล้วงมือไปหยิบสร้อยคอของตนขึ้นมาดูไม่ได้ และพบว่ามันเหมือนกันราวกับพิมพ์เดียว
หรือว่า...ผู้หญิงคนนี้...ไม่...นี่คือความฝัน หญิงสาวคิดก่อนที่จะเห็นแหวนวงเล็กที่มีร่าบรรจงใช้สร้อยเส้นนั้นร้อยไว้ แล้วสวมลงบนคอบุตรสาว
“แหวนของบิดาเจ้าวงนี้จะช่วยคุ้มครองเจ้า...เทเรเซีย” เสียงนั้นก้องอยู่ในหูของหญิงสาว
“เทเรเซีย...” เทย์พึงพำประโยคนั้นตามเบาๆ
หญิงสาวมองมีร่าที่ค่อยๆ วางลูกน้อยลงบนพื้นหญ้าข้างต้นไม้ใหญ่นั้นและลุกขึ้นทอดสายตาอย่างอาลัยรัก และกลับหลังวิ่งจากไปในทางที่มาเมื่อสักครู่
“อย่า...อย่าไปทางนั้น...!” หญิงสาวตะโกนก่อนที่ภาพทุกอย่างจะมืดลงอีกครั้ง


ครืน...ครืน...เปรี้ยง...
“โอ๊ย! มันจะตกอะไรกันนักกันหนา หน้านี้ก็ไม่ใช่หน้าฝนเสียหน่อยดีนะที่มันตกขากลับ ถ้าตกขาไปยาข้าเสียหายหมดแน่” หญิงชราบ่นมาตลอดทางที่นางเดินกลับบ้าน ฝนที่อยู่ๆ ก็ตกลงมาอย่างกับฟ้ารั่วทำให้นางรู้สึกหงุดหงิด
“ทั้งที่ไม่มีวี่แวว ว่าจะตกลงมาสักนิด ยังจะตกลงมาได้ เดี๋ยวนี้อะไรมันก็เปลี่ยนไปหมดแม้แต่สภาพอากาศ เอ๊ะ!” สายตาของหญิงชราสะดุดกับร่างๆ หนึ่งที่นอนอยู่ข้างทาง
“ฝนตกหนักขนาดนี้ มานอนอย่างนี้ได้ไงล่ะเจ้าหนู ดูแต่งตัวเข้าก็แปลกๆ ไม่ใช่คนแถวนี้หรือ” หญิงชรามองร่างเล็กๆ ที่สวมชุดแปลกตา ก่อนจะถามขึ้นอีกครั้งแต่ร่างนั้นก็ไม่ไหวติง
“พ่อหนุ่มไม่สบายหรือเปล่า...หรือว่าตายเสียแล้ว” นางรีบรุดเข้าไปหาร่างนั้นจึงพบกับร่างกายอันร้อนจัด
“ตายจริง...ตัวร้อนจัดเชียว”


“ขอบใจพวกเจ้ามากที่ช่วยพาเขามาส่ง” หญิงชรากล่าวกับหนุ่มฉกรรจ์ ทั้งสองหลังจากที่ทั้งคู่ช่วยกันหอบหิ้วเด็กหนุ่มที่นางเจอระหว่างทางมาส่งจนถึงบ้าน
“มันเล็กน้อยมากแม่เฒ่า ว่าแต่...เจ้าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นใครกันหรือ การแต่งตัวถึงได้แปลกนัก” หนึ่งในนั้นถามขึ้นมาหลังจากวางร่างนั้นลงบนที่นอนอย่างนุ่มนวล โดยหญิงชราก็ไม่ได้ว่ากล่าวอะไรถึงแม้ว่าร่างที่เปียกโชกนั้นจะทำให้ที่นอนของนางต้องถูกนำไปตากแดดอีกหลายวันก็ตาม
“หลานข้าเองนะ...มันเพิ่งมาจากต่างเมือง” หญิงชรามองร่างบนเตียงอย่างเอ็นดูอย่างไม่รู้สาเหตุ
“งั้น...พวกข้าลาก่อนนะแม่เฒ่า” ทั้งสองก้มศีรษะลงอย่างแสดงความนับถือก่อนจะสาวเท้าออกไป
เมื่อบุรุษทั้งสองย่ำเท้าจากไป หญิงชราจึงหันกลับมามองร่างนั้นอีกครั้งก่อนจะนั่งลงข้างๆ แล้วยกมือข้างขวาของร่างนั้นขึ้นมาช้าๆ อย่างสงสัย
“แหวนเจ้าเตโชกับอัญมณีเจ้าวารีน ของวิเศษทั่งสองสิ่งนี้มาอยู่ในตัวเด็กสาวคนนี้ได้อย่างไรกัน มันสาบสูญมานานแล้วนี่ หายไปตั้งแต่...”
หญิงชราพึมพำเบาๆ ก่อนที่ดวงตาหม่นแสงจะเบิกโพลง


“ไม่...อย่า...ไปทางนั้น..!” ร่างที่นิ่งสนิทมาเกือบทั้งคืนที่ฝนตกหนักร้องออกมา คลื่นพลังเสียงสะท้อนก้อง มีผลให้เกิดความสั่นสะเทือนรุนแรงจนบ้านหลังเล็กไหวโยก
แม่เฒ่าวัยชราตกใจตื่นขึ้นจากเก้าอี้ไม้เก่าที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดทันทีที่นางไหวตัว สายตาของหญิงชราจ้องมองร่างบางที่อยู่บนเตียงมอซอของนางนั้นอย่างอัศจรรย์ใจ
ดวงตาที่ลืมตาโพลงขึ้นมาของร่างนั้นทอประกายสีทองอร่าม เหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้าที่นวลขาวที่ดูราวกับสตรีก่อนที่แสงเหลืองอร่ามจะหายไปกลายเป็นสนิมธรรมดาอย่างที่หลายๆ คนในดินแดนแห่งนี้เป็น
“เราฝันไปนี่เอง” เทย์ถอนหายใจ แต่มือก็อดที่จะคลำหน้าผากตัวเองไม่ได้ แต่มันก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่ รวมไปถึงรอยเล็บจางๆ ที่อยู่บนฝ่ามือทั้งสองข้าง ...หรือว่าจะไม่ใช่ความฝัน
...เมื่อครู่ เทย์รู้สึกอึดอัดจนเกือบทนไม่ไหว แต่อยู่ๆ มันก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง แล้วยังความฝันประหลาดที่ซ้ำไปซ้ำมานั่นอีก...
แต่....หญิงสาวมองไปยังหญิงชราที่นั่งอยู่ข้างเตียง...ใครอ่ะ
 “เจ้าฟื้นแล้วหรือเจ้าหนู” หญิงชราถามด้วยน้ำเสียงอาทร ด้วยประสบการอันยาวนานของนางสอนให้รู้ว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้ในแฟร์แลนเทียร์
“ฟื้น! เจ้าหนู!” คำสองคำนี้ฟังดูสะดุดหูชอบกล อีกทั้งมองไปรอบๆ พบกับสถานที่ที่แปลกตาอันเป็นห้องที่มืดสนิท ถึงแม้ว่ามันจะไม่มืดเหมือนกับที่ผ่านมาก็ตาม เพราะเทย์ยังมองเห็นแสงสว่างสีนวลตาที่เด็กสาวแน่ใจว่ามาจากดวงจันทร์อันแสนคุ้นเคยแน่นอน...
“ฟื้นหรอ...เออ...ยายจ๊ะ ที่นี่ที่ไหน...แล้ว...นิโคล คนอื่นๆ ไปไหนกันหมดจ๊ะ แล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้ไงจ๊ะ” เทย์รัวคำถามถี่ยิบหลังจากที่ตั้งสติขึ้นมาได้
“ข้าตอบเจ้าได้เพียงว่าที่นี่เป็นบ้านของข้าซึ่งอยู่ในหมู่บ้านชุมเบต้า ซึ่งเป็นเมืองชนบทเล็กๆ ที่แสนสงบ ที่อยู่ทางตะวันออกของอาณาจักรแฟร์แลนเทียร์...”
...เมืองนี้มันอยู่ส่วนไหนของโลกนะไม่เคยได้ยิน? แต่ก็คงเป็นเมืองไทยนี่หล่ะ ก็ที่พูดมานี่ก็ภาษาไทยไม่ใช่หรอ ถึงจะสำเนียงแปลกๆ ก็เถอะ...
“ข้าพบเจ้าสลบอยู่ข้างทาง ส่วนคนอื่นๆ ที่เจ้าพูดถึงข้าไม่รู้ และข้าก็ไม่พบเห็นใครอีกทั้งนั้น”
หญิงชราบอกก่อนจะหันหน้าไปทางด้านปลายเตียง ขณะที่เด็กสาวพยายามนึกถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้
...เปาะ...
หญิงชราก็ดีดนิ้ว เสียงของมันดังก้องท่ามกลางราตรีที่เงียบสงัด ทันใดนั้น ไฟในเตาผิงที่อยู่ปลายเตียงก็ลุกขึ้นพร้อมๆ กับเชิงเทียนที่อยู่ใกล้กัน ก่อให้เกิดแสงสว่างไปทั่วทั้งห้อง
 “ทะ...ทำได้ไง” เทย์ขยับถอยห่างจากหญิงชราโดยอัตโนมัติ มือของเธอชี้สลับไปมาระหว่าเชิงเทียนและเตาผิง
หญิงชรามองเด็กสาวตรงหน้าอย่างสงสัย
“นี่เจ้าหมายความว่า...เจ้าไม่รู้จักพลังโนนเวล..?”
“พลังโนนเวล...?” เทย์อ้าปากค้างในขณะที่สมองกำลังประมวณผลและสรรหาคำที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่หญิงชราบอก รวมไปถึงพยายามไม่จินตนาการว่าหญิงชราเป็นตัวประหลาดหรือพวกแม่มดในนิทานก่อนนอน
“ใช่...พลังโนนเวล แปลก...! จะว่าเจ้าไม่มีพลังโนนเวลก็เป็นไปไม่ได้”
“ค่ะ?” สมองที่ไร้ข้อมูลใดๆ อยู่ในหัวส่งผลให้เด็กสาวตอบออกมาได้เพียงแค่นี้
หญิงชรามองหน้าหญิงสาวนิ่ง
“ข้ามองเห็นพลังในตัวเจ้า” เด็กสาวนั่งนิ่งเหมือนถูกสาบ
“เป็นไปไม่ได้ ฉันกำลังฝันไป นี่ไม่ใช่ความจริง” เด็กสาวพยายามหลอกตัวเองทั้งที่อาการปวดหัวตุบๆ เพราะพิษไข้ยังคอยย้ำเตือนถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
“ฉันไม่รู้จักพลังนั้น....แล้วทุกคนทีนี่มีพลังนี้กันหมดเลยหรือค่ะ” เธอนั่งเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะเปลี่ยนคำถามใหม่อย่างคนพยายามทำใจให้ยอมรับ
แม่เฒ่าส่ายหน้าก่อนจะเริ่มอธิบายในสิ่งที่ทุกคนรู้อยู่แล้วให้เด็กตรงหน้าได้รับรู้
“ไม่ทุกคนหรอก...แต่จะมากน้อยก็ขึ้นอยู่กับสายเลือดด้วยเพราะพลังนี้เป็นพลังที่จะตกทอดกันมาทางสายเลือด คนในหมู่บ้านนี้ที่มีพลังสูงๆ อยู่คงมีไม่ถึงห้าคนด้วยซ้ำ คนส่วนใหญ่จะทำได้เพียงจุดไฟเพื่อใช้หุงหาอาหารธรรมดาเท่านั้น” หญิงสาวนึกถึงนิยายแนวแฟนตาซีที่เคยอ่าน ....มันไม่ใช่เรื่องจริง ฉันกำลังฝันอยู่ใช่ไหม...หญิงสาวนึกแล้วหยิกตัวเองอย่างแรงด้วยหวังว่ามันไม่เจ็บ...แต่ผลที่ออกมาคือความเจ็บและรอยช้ำที่แดงชัดเจนที่ออกมาให้เห็นทันตา...
“เจ้าทำอะไร” หญิงชราปราดเข้ามาดูแขนขาวนวลที่มีรอยแดงเป็นจ้ำก่อนวางมือทาบลงไป แสงสีขาวแผ่ออกจากฝ่ามือก่อนจะซึมลงสู่ผิวที่แดงช้ำ หญิงสาวรู้สึกถึงความเย็นที่ค่อยๆ ซึมผ่านเข้ามา
“ถ้าเจ้าไม่รู้จัก ตอนนี้เจ้าก็สมควรรู้ได้แล้ว”


ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างกระท่อมหลังเล็กปรากฏร่างบางร่างหนึ่งนั่งชันเข่าพิงไม้ใหญ่อยู่ สีหน้าของเธอดูวิตกกังกลและสับสน...
...จะปฏิเสธว่านี่เป็นความฝันก็คงไม่ได้ เพราะหากนี่เป็นความฝัน มันคงเป็นความฝันที่ยาวนานที่เดียว ในเมื่อเธอหลับตาลงในตอนค่ำและตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเพื่อหวังว่าจะพบนิโคลมาปลุกในตอนเช้าเหมือนทุกวันอย่างเคย แต่เธอกลับตื่นขึ้นมาในสถานที่แห่งนี้มาสามคืนแล้ว...
หลังจากได้พูดคุยกับหญิงชรามาพักใหญ่ เทย์ก็ได้รู้ว่าที่นี่คืออาณาจักรแฟร์แลนเทียร์ ซึ่งอยู่ใน             พิภพซันดาร์คเด้น พิภพนี้แบ่งออกเป็น  3 ทวีป ได้แก่  ทวีปเหนือ กลาง และใต้ ประกอบด้วยอาณาจักร 8 อาณาจักร คือ
ทวีปใต้มีอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดชื่อว่า ฟูลรีนเร่ รองลงมาคือ ฮาร์ริน ฮีร์ริน และฮอยร์ริน โดย ผู้คนส่วนใหญ่จะใช้พลังโนนเวลวาริน และวาโยได้ดี เพราะทวีปนี้ถูกล้อมรอบด้วยน้ำ อากาศหนาวมีลมแรง บางพื้นที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็ง โดยเฉพาะอาณาจักรทางใต้สุดที่ชื่อว่า ฮอยร์ริน ซึ่งเป็นอาณาจักรที่ถือว่าทารุณโหดร้ายที่สุดสำหรับคนที่จะเข้าไปเพราะเป็นอาณาจักรที่หนาวเย็นที่สุด
ต่อมาคือทวีปอันเป็นศูนย์กลางของพิภพ...ทวีปกลาง...มี อาณาจักรแมนนอร์มอล เป็นเมืองที่อยู่กลางทวีป เป็นศูนย์รวมของความรู้ทุกแขนง มีโรงเรียนที่ดีที่สุดอยู่ในอาณาจักรนี้ นอกจากนี้ยังมีอาณาจักรเล็กๆ อีก 2 อาณาจักร คือ แลคค์รอย ที่มีเขตแดนติดกับทวีปเหนือ อีกแห่งก็คือ นอยโล ซึ่งจะมีเขตแดนติดกับทวีปใต้ คนในอาณาจักรนี้จะมีพลังที่ได้รับอิทธิพลมาจากแต่ละอาณาจักรที่ตนอยู่ใกล้
อาณาจักรสุดท้ายอยู่ในทวีปเหนือ คือ...แฟร์แลนเทียร์ พลังประจำอาณาจักรนี้ก็คือ พลังเตโช และพสุธา เป็นอาณาจักรที่มีอุณหภูมิสูงที่สุด เพราะมีภูเขาไฟอยู่หลายลูกในทางตอนเหนือของอาณาจักร ในอดีตคนของอาณาจักรนี้กับอาณาจักรทางใต้จึงไม่ค่อยจะถูกคอกันนักคงเป็นเพราะพลังทั้งสองฝ่ายต่างข่มกัน ทวีปนี้แม้จะมีขนาดเล็กที่สุดเพราะมีอาณาจักรก็คืออาณาจักรแฟร์แลนเทียร์ แต่ก็เป็นเมืองที่ประกอบไปด้วยทรัพยากรแร่ธาตุที่มากที่สุด จึงเป็นอาณาจักรที่ร่ำรวยที่สุดเช่นกัน...
นอกจากพลังโนนเวลอันเป็นธาตุทั้ง 4 แล้ว ยังมีโนนเวลสายพิเศษอีกหลายสาย สายพิเศษที่สำคัญมีสองสาย คือ พลังแห่งแสงสว่าง และพลังแห่งความมืด ซึ่งอย่างหลังเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับชาวบ้านทั่วไป เทย์คิดว่าคงจะเป็นเพราะมันเป็นพลังในด้านมืดจึงเป็นสิ่งต้องห้าม แต่จริงๆแล้ว...เพราะอะไร เทย์ก็ไม่รู้เหมือนกัน
แต่ปัจจุบันนี้ตามที่แม่เฒ่าเล่า การแบ่งแยกพลังตามเมืองต่างๆ ไม่มีอีกแล้ว เพราะมีคนที่มีสายเลือดบริสุทธิ์เหลืออยู่น้อยมาก
หญิงสาวนั่งนึกแล้วก็ให้ทอดถอนใจ ด้วยไม่รู้ว่าตนเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร พลันสายตาก็เหลือบไปที่แหวนที่นิ้วมือ...
ใช่ ...ต้องเป็นเพราะแหวนวงนี้แน่ๆ
แต่มันเอาไม่ออกอ่ะ
หญิงสาวหน้ายู่เมื่อไม่สามารถจะเอาแหวนออกได้ดังใจ…
เดี๋ยวลองถามแม่เฒ่าดูดีกว่าว่าจะเอามันออกมาได้ยังไง
แต่...ถ้าเราเอามันออกมาได้ แล้วมันเกิดหายขึ้นมา...เราก็กลับไม่ได้อ่ะดิ ไม่เป็นไร...ไม่เอาออกแล้วก็ได้
เทย์มองไปรอบๆ บ้านหรือจะเรียกอีกทีว่ากระท่อมหลังนี้ คงอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านมากโขอยู่ เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่เห็นบ้านใครเลยสักหลัง ข้างๆ บ้านมีถาดที่บรรจุพืชตากแห้งตากแดดไว้เต็มไปหมด เทย์คิดว่ามันคงจะเป็นพืชจำพวกยาสมุนไพร แม่เฒ่าคงจะเก่งเรื่องการรักษาน่าดูทีเดียว ทางด้านหลังบ้านก็มีเล้าที่เทย์คิดว่ามันคงเป็นไก่ของที่นี่ เพราะลักษณะของมันเหมือนไก่เพียงแต่ว่าตัวมันอ้วนกลมอย่างกับหมู หัวของมันก็เหมือนกับ...นกกระยาง...ปากของมันยาวสักสองนิ้วเห็นจะได้มั้ง...
จะว่าไปสัตว์และข้าวของส่วนใหญ่ที่มีในโลกที่นี่ก็มีเหมือนกัน จะมีผิดแผกแตกต่างอยู่ไม่กี่ชนิด เช่นเมื่อวานแม่เฒ่ายังเด็ดผลแอปเปิ้ลจากในป่ามาฝากเธอถึงสองลูก และเธอก็ไม่ขัดศรัทธาโดยการทานเสียเลียบเพราะแม่เฒ่ากล่าวว่าตนเองขยับเหงือกสู้ผลแอปเปิ้ลไม่ไหว
ว่าแต่...แม่เฒ่าหายไปไหนนะ
หลังจากฟ้าสางได้ไม่นานแม่เฒ่าก็ขอตัวออกไปทำธุระข้างนอก จนป่านนี้ก็น่าจะเลยเที่ยงไปหลายชั่วโมงแล้ว ไม่รู้ว่าแม่เฒ่าหายไปไหน เทย์มองดูดวงอาทิตย์ที่ลอยต่ำลงมาทุกที...
   

   “เจ้าหนู! มานอนทำไมตรงนี้ล่ะ ดูสิ...แดดส่องหน้าแล้ว ลุกเถอะ...ข้ามีของมาฝากเจ้าด้วย” เสียงแหบๆ อันคุ้นหูช่วยปลุกให้เทย์ลืมตาตื่นขึ้น
   นี่เราเผลอหลับไปหรอเนี่ย...
   “อะไรหรอจ๊ะยาย เอ๊ะ...นี่มันชุดผู้ชายนี่” เทย์มองดูชุดสีขาวเนื้อดี
   “ชุดของเจ้า ข้าคิดว่าเจ้าคงถนัดใส่ชุดแบบนี้มากกว่า อีกอย่าง...อยู่ในป่าเขาแบบนี้มันอันตราย หากเป็นชาย ข้าว่าน่าจะปลอดภัยกว่า”
   เทย์นึกคล้อยตาม...ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยแบบนี้ ป้องกันไว้น่าจะดีที่สุด เราเองก็สวยน้อยเสียเมื่อไหร่   
“จ๊ะยาย...ว่าแต่ยายไปไหนมาหรอจ๊ะ” หญิงชรายื่นมันให้กับเธอ เด็กสาวไม่รู้ว่ามันจะมีราคามากน้อยเพียงใด แต่มันคงเป็นชุดที่แลกมาจากน้ำพักน้ำแรงของแม่เฒ่าผู้ชราคนนี้ จะมีสิ่งใดที่เธอจะช่วยได้ไหมนะ
   “ข้าเข้าไปในหมู่บ้านมานะ เอาสมุนไพรไปขายแล้วก็ซื้อเสื้อผ้ามาให้เจ้าด้วย”
   “ลำบากยายแย่เลย...ถ้ามีอะไรให้ฉันช่วยได้ละก็ ยายบอกฉันเลยนะ” เทย์บอกอย่างกระตือรือร้น
   “ดี...วันพรุ่ง ข้าจะให้เจ้าช่วยข้าเข้าไปเก็บสมุนไพรในป่ามาตากแห้ง”


<--:ThE--$eCret--GuilD:--> กิaaึกaัU จาก"ดาวดึงส์"
http://forum.asura.in.th/index.php?topic=13967.msg269553#msg269553


แมว...จรจัด

  • Jr. Member
  • **
    • กระทู้: 292
  • ~๐ยิ้ม๐ลับ๐ซ่อน๐ลึก๐~
ตัวละครสำคัญ

<--:ThE--$eCret--GuilD:--> กิaaึกaัU จาก"ดาวดึงส์"
http://forum.asura.in.th/index.php?topic=13967.msg269553#msg269553


แมว...จรจัด

  • Jr. Member
  • **
    • กระทู้: 292
  • ~๐ยิ้ม๐ลับ๐ซ่อน๐ลึก๐~
ตอนที่ 3 สูญเสีย

   การรับปากกับหญิงชราในคราวนั้นทำให้เทย์ได้เดินทางเข้าป่าไปพร้อมกับหญิงชราตลอดสามสัปดาห์ เรียนรู้เกี่ยวกับสมุนไพรที่ดูแปลกตาแต่มีคุณสมบัติไม่ค่อยแตกต่างเท่าไหร่กับที่เคยศึกษา เช่น รีบ้า เป็นพืชที่มีใบสีเขียวอ่อน มักขึ้นในที่ชื้นมีคุณสมบัติคล้ายสลอดที่มีฤทธิ์เป็นยาระบาย นาซีอิน เป็นยาสมานแผลที่ราคาแพงและหายากเป็นพืชที่มีใบยาวคล้ายใบเตยสีเขียวเข้มดอกสีเหลืองทองซึ่งอาจสับสนกับ ต้นดาเดซเซ่ ที่มีลักษณะใบเหมือนกันดอกสีแดงแต่เป็นยาพิษที่ทำให้คนตายในภายในสามวัน นอกจากนี้แม่เฒ่ายังสอนวิธีการเก็บรักษาและปรุงยาเบื้องต้นอย่างง่ายๆ ให้ เผื่อให้ใช้ยามจำเป็นซึ่งเทย์เรียนรู้อย่างตั้งใจด้วยเป็นความชื่นชอบส่วนตัว ควบคู่กับการฝึกพลังโนนเวลเบื้องต้นที่เทย์รู้สึกว่ามันยากเสียยิ่งกว่าหาสมุนไพรที่ว่าหายากอย่างนาซีอินเสียอีก เพราะจนป่านนี้เธอยังจุดไฟไม่ได้เลย นั่นย่อมรวมไปถึงเรียกน้ำมากินสักแก้ว ซึ่งแม่เฒ่าบอกว่าเด็กๆ ทำได้ตั้งแต่อายุสามขวบ!!!
   ไม่ไกลจากกระท่อมเล็กๆ หลังนี้ ใช้เวลาเดินหนึ่งชั่วโมงหากชำนาญทางนะ ก็จะถึงหมู่บ้านชุมเบต้าที่มีคนอยู่อาศัยประมาณสามสิบครัวเรือนเห็นจะได้ ก็ราวๆ เกือบร้อยห้าสิบคน ซึ่งถือว่าเป็นหมู่บ้านเล็กๆ และต้องการจะเข้าเมืองก็จะต้องเดินทางไปทางทิศตะวันตก หากเดินทางด้วยเท้าอย่างเร็วก็ต้องใช้เวลาประมาณ 5-6 วัน แต่ถ้ามีม้าแค่สองวันก็ถึง แต่เทย์ก็ยังไม่เคยคิดที่จะเดินทางไปเลย...เดินป่าคนเดียวน่ากลัวจะตายไป
   สำหรับการเดินทางไปยังหมู่บ้านแม่เฒ่าจะไปอาทิตย์ละครั้งเท่านั้น เพื่อนำสมุนไพรไปส่งกับโรงหมอเล็กๆ ที่รู้จักและก็ซื้อของใช้บางอย่างที่จำเป็น เช่น เสื้อผ้า เป็นต้น
   ...และวันนี้ก็เป็นอีกวัน ที่จะได้เข้าหมู่บ้าน...
   “เทย์! เสร็จแล้วหรือยัง?”
   “มาแล้วจ๊ะ...เออ ครับ” นี่ก็อีกอย่างที่ต้องปรับเปลี่ยน...
   แม่เฒ่าไม่ยอมให้พูดเป็นผู้หญิงเลยสักครั้ง ยิ่งเวลาไปในหมู่บ้าน แม่เฒ่าสั่งห้ามไม่ให้พูดเลย โดยให้เหตุผลไว้ว่า...
   ...สำนวนการพูดของเจ้ามันผิดแยกแปลกถิ่น พวกชาวบ้านจะซักถามให้มากความ...
   ดังนั้น พวกคนในหมู่บ้านจึงคิดว่าหลานของแม่เฒ่า พูดไม่ได้ หรือเป็นใบ้นั่นเอง
   แต่ที่แปลกอยู่อย่างก็คือ เทย์อ่านหนังสือออกและเขียนได้ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยที่คนที่เห็นตัวหนังสือหยิกๆ หยักๆ เหล่านั้นเป็นครั้งแรกแล้วเข้าใจในทันที และสามารถเขียนได้เพียงนึกถึง แต่แม่เฒ่ากลับบอกว่า คนที่นี่ที่มีพลังโนนเวลเป็นอย่างนี้ทุกคน โดยเฉพาะพวกเชื้อสายหรือพวกมีชาติตระกูลจะเรียนรู้ได้เร็วมาก
   “ข้าว่า...วันนี้เจ้าต้องไปส่งสมุนไพรคนเดียวแล้วหล่ะ โรคคนแก่ข้ากำเริบอีกแล้ว” หญิงชราบ่นทันทีที่เห็นหน้า
   แม่เฒ่ามักมีอาการปวดหัวเข่าอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเป็นโรคที่แม่เฒ่าบอกว่าบรรเทาได้แต่รักษาให้หายไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องของความแก่ชรา ที่ต้องมีอาการไขข้อเสื่อมสภาพ
   “นี่จดหมายเอาไปให้เจ้าของโรงหมอเจ้าจะได้ไม่ต้องพูดอะไรออกไป แล้วนี่ข้าให้เจ้าเผื่อจะต้องการซื้อของใช้จำเป็น เจ้าจำทางได้ใช่ไหม? เทย์” เด็กสาวพยักหน้ารับ
   เทย์ยอมรับว่าตั้งแต่เกิดมาตนเองไม่เคยเคารพรักใครประดุจญาติผู้ใหญ่ได้เท่าหญิงชราผู้นี้ ถึงแม้ว่างานจะเหนื่อยแต่ก็อยากทำเพราะรู้ดีว่าจะเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระหญิงชราได้ไม่มากก็น้อย ไม่ว่าภาระน้อยใหญ่อะไรที่เธอสามารถช่วยได้เธอก็จะช่วยอย่างเต็มใจ
   เทย์ออกจากบ้านและเดินทางสู่เขตป่าที่เริ่มคุ้นเคย ไม่นานนักก็ถึงทางเข้าหมู่บ้าน หญิงสาวกระชับห่อผ้าที่บรรจุห่อยาไว้แน่น
   ผู้คนในหมู่บ้านทักทายเด็กหนุ่มหน้าใสที่เริ่มคุ้นหน้าอย่างเป็นกันเองโดยไม่ได้ตำหนิอะไรเมื่อเด็กหนุ่มกระทำตอบเพียงยิ้มและพยักหน้ารับด้วยรู้ว่าเขาพูดไม่ได้ โดยไม่ได้นึกเอะใจเลยว่าเจ้าเด็กหนุ่ม(?)นั่นไม่พูดมากกว่า
   โรงหมอเล็กเล็กแห่งนี้ยังคงมีผู้คนแวะเวียนเข้าออกไม่ขาดเพราะเป็นโรงหมอแห่งเดียวของหมู่บ้าน หมอนายย์ผู้ใจดีมีเมตตากับชาวบ้านเสมอ รักษาให้กับชาวบ้านทุกคนแม้ว่าบางคนจะไม่มีเงินเลยสักซัน  เทย์จึงมีความนับถือคนผู้นี้อยู่ไม่น้อย
   เทย์เดินเข้าไปหาหมอเจ้าของร้านอย่างพอคุ้นเคยแล้วยื่นจดหมายส่งให้ แล้วจึงตามด้วยห่อผ้า
   หมอนายย์เป็นชายกลางวัยสี่สิบต้นๆ ดูสุขภาพดี เคยทำงานเป็นถึงหมอหลวงของแฟร์แลนเทียร์ แต่เกิดเหตุการณ์บางอย่างที่เทย์ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไร จึงทำให้เกิดความเบื่อหน่ายจึงลาออกมาช่วยชาวบ้านที่นี่ซึ่งเป็นบ้านเกิด
   “ซีไนท์! มาเอาสมุนไพรพวกนี้ไปเก็บแล้วเอาเงินที่เตรียมไว้ให้แม่เฒ่ามาให้พ่อด้วย” หมอนายย์สั่งลูกชายคนเดียวที่อยู่หลังร้าน
   ซีไนท์เป็นเด็กหนุ่มผิวคล้ำดูคมเข้มตัวโตหน้าดวงตาและผมสีดำเหมือนพ่อและคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน ถ้าไม่บอกก็คงไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ในวัยเดียวกับเทย์หรือมากกว่าไม่เกินสองปี เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเพื่อน เพราะว่า...
   “นี่ครับพ่อ! อ้าว! แม่เฒ่าไปไหนล่ะ? ทำไมมีแต่เจ้าใบ้ขี้โรคนี่”
   ...ใช่ มันปากปีจอเลยไม่มีใครคบ...แต่...
   “ดีเลย ข้าพาเจ้านี่ไปเที่ยวบ้านมิวเชคดีกว่า แล้วเดี๋ยวข้าจะพาไปส่งให้ถึงบ้านแม่เฒ่าเองนะพ่อ”
   ยังไม่ทันที่หมอนายย์จะพูดอะไร เทย์ก็โดนลากออกมานอกโรงหมอเรียบร้อย
บ้านของมิวเชคอยู่ห่างจากหมู่บ้านมาเล็กน้อย เป็นบ้านที่ใหญ่และมีผู้คนอาศัยอยู่มากที่สุดถึงสามสิบคน เพราะที่นี่เป็นโรงฝึกการต่อสู้ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง คนที่ต้องการจะเป็นทหารส่วนใหญ่จะมาฝึกฝนกันที่นี่และนั่นรวมไปถึงซีไนท์ด้วย
“เฮ้! ซีไนท์ ลมบ้าอะไรพัดเจ้ากลับมาที่นี่ได้ล่ะเนี่ย ถ้าไอ้เวียร์ซุสรู้เข้าละก็...บ้านข้าพังเป็นแถบๆ แน่” ชายหนุ่มร่างผอมสูงผิวคล้ำยิ้มร่าอย่างไม่นึกกลัวคำพูดของตนสักนิด
ซีไนท์นึกถึงชายหนุ่มคู่อริที่เป็นไม้เบื่อไม้เมามาตั้งแต่เล็ก
“ก็ให้มันมาสิ ข้าไม่กลัวมันหรอก” ชายหนุ่มพูดอย่างไม่เกรง
“แล้วนี่ใครล่ะ? ผิวขาวอย่างกับคนใต้ แต่ร่างกายอย่างกับหญิง”
“นี่หล่ะที่ข้ามาวันนี้! ข้าว่าจะสอนเชิงดาบ เชิงมวยให้มันซะหน่อย” มิวเชคหันมามองเทย์ที่อ้าปาก เตรียมก้าวเท้ากลับ ก่อนจะหยุดชะงักจากคำพูดดูถูกจากมิวเชค
“จะไหวหรอว่ะ เจ้ามันมือหนึ่งของที่นี่นะ”
“เออใช่! ประกาศมาถึงเมื่อวาน อีกสองสัปดาห์จะมีการประลองคัดเลือกราชองครักษ์ เจ้าจะลองดูไหม?” มิวเชคนึกขึ้นได้ก่อนจะหยิบแผ่นกรระดาษบางอย่างออกมาให้ซีไนท์
“แน่นอน...ข้าไปแน่ แล้วเจ้าไม่คิดจะไปบ้างหรือไง”
“ไม่หล่ะ...ข้าอยู่กับพ่อข้าที่นี่ดีกว่า ไม่อยากเป็นทหาร ไม่อยากถูกควบคุม ว่าแต่เจ้าเด็กนี่...” สายตาของเจ้าของสถานที่มองมายังเด็กสาวอย่างเอาเรื่อง
“เจ้านี่ชื่อเทย์ เป็นใบ้ว่ะ ข้าล่ะสงสาร ว่าแต่เจ้าไม่ให้ข้าสอน แล้วเจ้าจะให้ใครสอน”
มิวเชคหลี่ตาลงเล็กน้อยมองสานตาที่วาวโรจน์ด้วยความโกรธที่ตนเองก่อขึ้นอย่างตั้งใจเมื่อครู่แล้วยิ้มที่มุมปาก
“ข้าเอง”


...เกร๊ง...เกร๊ง...
หลังบ้านของมิวเชคมีลานประลองขนาดใหญ่ เสียงโลหะกระทบกันดังไม่ขาดระยะ ชายหนุ่มห้าคู่กำลังฟาดฟันกันอย่างเมามันโดยยังไม่พบว่าจะมีคนใดเพลี่ยงพล้ำ
มิวเชคพาเทย์และซีไนท์ไปยังด้านหนึ่งของลานประลองที่มีอาวุธมากมาย ทั้งใหม่และเก่าวางสุมๆ กันอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบ
“เจ้าลองเลือกอาวุธชิ้นที่เจ้าคิดว่าจะถนัดที่สุดออกสิ” เจ้าของสถานที่เอ่ยอนุญาต
เด็กสาวมองอาวุธแต่ละชนิดแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าอยู่ในใจ
...ดาบแต่ละอันคงหนักไม่ต่ำกว่า 5 กิโลแน่ๆ เอ๊ะ...อันนั้นดูท่าจะเข้าที...
มิวเชคมองเทย์เลือกดาบที่ทำจากเหล็กกล้าเนื้อดีแต่บางเบาคล้ายจะเปราะบางสุดหวงของบิดาก็ได้แต่อมยิ้ม บิดาของตนนอกจากจะเคยเป็นทหารฝีมือดีแล้ว ยังเป็นช่างตีเหล็กมือฉมัง ดาบเล่มนี้ บิดาตนมิได้ตี แต่เป็นเล่มที่ท่านหวงที่สุด แม้ว่าบิดาของตนจะหวงก็จริง แต่ท่านมักจะพูดเสมอว่า ดาบมันรอเจ้าของที่แท้จริงอยู่...
...ดาบเล่มเล็กคมกริบที่ดูเปราะบางที่ไม่มีใครที่มองเห็นค่าพอจะหยิบมันขึ้นมา...
มิวเชคหยิบดาบข้างๆ แล้วทดสอบน้ำหนักดาบโดยการโยนไปมาระหว่างมือทั้งสองข้าง ดาบของเขาทั้งหนาและหนักกว่าอีกฝ่ายหลายเท่าตัว
“ถ้าเจ้าพร้อมแล้วเราก็มาเริ่มเลยดีกว่า” มิวเชคกล่าวก่อนจะกระโดดลงไปกลางลาน ชายหนุ่มอีกห้าคู่ที่อยู่ในลานก่อนหน้านี้รีบถอยออกแล้วมองหาว่าใครคือคู่ต่อสู้ของลูกชายเจ้าของโรงฝึก
เทย์ก้าวเข้ามาอย่างเก้ๆ กังๆ ก่อนจะรู้สึกฮึดขึ้นมาอีกครั้งหลังจากได้ยินเสียงหัวเราะจากคนอื่นรอบๆ สนาม เมื่อเห็นว่าตนคือผู้ที่เป็นคู่ต่อสู้ของมิวเชค ในขณะที่ซีไนท์ขยับไปเป็นกรรมการ
“เพลาๆ มือหน่อยก็ได้นะ มิวเชค...ขอให้การต่อสู้จบลงแค่ดาบแตะตัวเท่านั้นนะ” ซีไนท์ถอยออกมาจากกลางวงแล้วให้สัญญาณ
“เริ่ม!!!”
เทย์เริ่มคิดหนักอีกครั้ง ดาบที่หญิงสาวถืออยู่เป็นดาบสั้น ดังนั้น จึงจำเป็นต้องเป็นการต่อสู้แบบประชิดตัวซึ่งคงหนักเอาการอยู่ แม้ว่าจะเคยเข้าครอสกระบี่กระบอง มวยไทย เทควันโดมาบ้างก็ตาม แต่มันก็เป็นครอสสั้นๆ และที่สำคัญหญิงสาวไม่เคยใช้ดาบจริงมาก่อน!!!
มิวเชคพุ่งดาบเข้ามาตรงๆ อย่างยั่วยุ เทย์รีบเบี่ยงตัวหลบและสวนกลับ มิวเชคปัดออกไปอย่างง่ายดาย เทย์ก้าวเท้าถอยห่างอย่างดูเชิง
ซีไนท์มองความปราดเปรียวและการต่อสู้แบบแปลกๆ ของเจ้าเด็กใบ้อย่างประหลาดใจ ความรวดเร็วอันเหลือเชื่อที่ก้าวหลบหลีกมิวเชคหนึ่งก้าวเสมอราวกับรู้รูปแบบการโจมตีขั้นต่อไปของเพื่อนเขาเสมอ แม้แต่เขาเองที่อยู่นอกสนามกลับไม่รู้รูปแบบที่เจ้าใบ้นั่นใช้ต่อสู้มาก่อน ท่าทีที่เอาแต่ปัดป้องอย่างนุ่มนวลน้อยครั้งที่จะสวนกลับราวกลับเคยเรียนรู้แต่วิธีที่จะหลบหลีก ไม่ใช่หักหาญนั่น... สิ่งเหล่านี้กำลังจะทำให้เพื่อนของเขาที่เคยเล่นเป็นผู้ยุแหย่จะกลับกลายเป็นผู้ที่โมโหเสียเอง
หญิงสาวนึกแปลกใจกับร่างกายที่ดูรวดเร็วและคล่องตัวมากกว่าปกติ นั่นทำให้เธอเกิดความมั่นใจขึ้นมาเล็กน้อย แรงของมิวเชคนั้นคงมากกว่าเธอหลายเท่า หากปล่อยให้ยืดเยื้อเธอคงลำบาก ความเร็วของเธอจะช่วยเธอได้ในระดับหนึ่งแต่เธอจะทานได้นานแค่ไหนกัน?
เหงื่อเริ่มซึมออกจากไรผมที่ถูกตัดจนสั้นราวกับหนุ่มน้อย หากกลับมีรอยยิ้มออกจากใบหน้านวลขาวราวกับไม่ใช่คนแดนเหนือ ไม่ใช้เพียงแต่เธอเท่านั้นที่เริ่มช้าลง มิวเชคก็ดูจะอ่อนแรงลงเช่นกันและนั่นคือสิ่งที่ทำให้เทย์ยิ้มได้กับความหงุดหงิดของคู่ต่อสู้ของตน...ชักจะรู้สึกสนุกขึ้นมาแล้วเรา
หลายคนในสนามเริ่มอ่อนเสียงหัวเราะลงเมื่อเห็นว่ามิวเชคมิอาจชนะได้ง่ายอย่างที่คิดและเริ่มมองหนุ่มผอมแห้งคนนั้นในแง่ใหม่ และหนึ่งในนั้นก็คือ...ซีไนท์
โดยไม่ต้องพูดมากแต่ก็รู้ความหมาย มิวเชคทิ้งดาบลงข้างตัวอย่างยอมรับในฝีมือของเทย์เมื่อปลายดาบเรียวเล็กจ่อปลายคางของตน...เสียงปรบมือดังขึ้นรอบตัว เทย์ลดดาบลงจึงเกิดช่องว่างขึ้น มิวเชคได้ทีตวัดเท้าขึ้นเตะข้อมือที่หญิงสาวถือดาบไว้จนดาบหลุดมือ ถือเป็นการเริ่มประลองครั้งใหม่
เทย์กระโดดถอยออกห่างแล้วดึงถุงมือสีดำที่แม่เฒ่าให้มาให้กระชับมือขึ้น ก่อนจะกำมือแน่นและเริ่มฟุตวอร์ค...หากเราไม่สู้เราก็จะเจ็บตัว...
เทย์ยังคงหลบอย่างคล่องแคล่ว สายตาจับจ้องท่วงท่าของมิวเชคไม่วางตา และรอจังหวะ
เมื่อมิวเชคส่งหมัดออกมาเทย์ก็ใช้มือซ้ายปัดป้องพร้อมกับพลิกตัวศอกกลับ ทำให้โดนใบหน้าของมิวเชคอย่างจังจนเขาล้มลงไปกองอยู่กับพื้น เลือดสีแดงไหลย้อยออกมาจากจมูกที่เคยโด่งหักลง เป็นอันว่ารู้ผลแล้วแต่ผู้คนในสนามกลับเงียบงัน เทย์เองก็ตกใจไม่น้อยจึงรีบเข้าไปช่วยพยุงขึ้น
“ฮ้าไฮ้เฮ็นไฮ! ฮีไฮท์ เฮ้าเฮอฮู้แฮงฮี่ฮ่าฮัวแฮ้วฮะ ฮ่าฮ่าฮ่า” คนดั้งหักหัวเราะไม่หยุด ในขณะที่ซีไนท์ที่เข้ามาช่วยพยุงอีกคนส่ายหน้า ก่อนจะส่งมิวเชคให้กับสมาชิกของบ้านเข้าไปดูแล
“เฮี๋ยว! เฮย์ เฮาฮาบฮี่ไฮฮ้วย ฮ้าใฮ้เฮ้าเฮ็นฮองฮวัญ” มิวเชคชี้ไปที่ดาบเล่มบาง
“เขาบอกว่า ให้เจ้าเอาดาบเล่มนั้นไปด้วย” เทย์ส่ายหน้าปฏิเสธและเดินหนีก่อนจะถูกคว้าข้อมือไว้จากมือที่แกร่งประดุจคีมเหล็กทำเอาหญิงสาวเกือบร้องออกมาด้วยความตกใจ
“ท่านพ่อ! อาจารย์!” สองหนุ่มอุทานเสียงหลงกับผู้มาใหม่ผู้ซึ่งคว้าข้อมือของเทย์ไว้ ในขณะที่คนอื่นๆ พากันก้มหัวลง
“เด็กคนนี้นะหรือที่ชนะลูกชายข้า” ชายกลางคนร่างใหญ่ดูแข็งแกร่งกล่าวขึ้น แล้วยกมือข้างที่เหลือรับดาบเล่มบางที่ถูกส่งมาจากเด็กหนุ่มคนหนึ่ง สายตาประกายกล้าดูน่าหวั่นเกรงประดุจพญาเหยี่ยวมองเหยื่อจ้องมองเทย์อย่างพินิจจนหญิงสาวรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ
“หมดสภาพเลยลูกชายข้า” เขาส่ายหน้าเล็กน้อยอย่างละอา แล้วยื่นดาบที่ถูกใส่ฝักตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบใส่มือเทย์อย่างบังคับ
“เจ้ารับไปซะ นี่คือดาบที่ดีที่สุดเท่าที่เจ้าจะมีได้ ข้ารับรอง” เทย์รับมาอย่างจำใจก่อนที่ซีไนท์จะเอ่ยลากลับออกไปพร้อมกัน
หลังจากร่างของทั้งสองผ่านพ้นประตูบ้านออกไปไม่นาน ผู้เป็นบุตรชายคนเดียวอดที่จะเอ่ยถามบิดาไม่ได้จึงเอ่ยถามขึ้น
“ท่านพ่อ ท่านคิดว่าข้ามอบดาบให้ถูกคนหรือไม่...”
“เด็กนั้น...จะเป็นคนที่เจ้ายอมก้มหัวให้ตลอดชีวิต” ผู้เป็นบิดากล่าวออกมาโดยไม่ตอบคำถามของผู้เป็นลูก  สายตาของอาจารย์ผู้ฝึกวิชาการต่อสู้ส่อแววครุ่นคิด


“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะมีฝีมือขนาดนี้เลยนะเนี่ย!”
“เจ้าไปหัดมาจากไหน?”
“ดูพิลึกดีนะข้าว่า!”
เสียงซีไนท์พึมพำพูดอยู่คนเดียวมาตลอดทางที่เดินกลับเข้าหมู่บ้าน ดูท่าจะเป็นคนที่มีความสุขมากเมื่อตนเองพูดได้โดยไม่มีใครพูดแทรก ...หรือนายคนนี้จะเป็นพวกโรคจิตชอบพูดคนเดียวก็ไม่รู้!
“เจ้ารู้ไหมว่าดาบเล่มนี้อาจารย์ข้าหวงมาก แต่ทำไมถึงให้เจ้าก็ไม่รู้”
...ทำไมนะ ทำไมถึงขนาดต้องบังคับให้รับมา...
เทย์หยิบดาบสั้นขึ้นมาพิจารณา นอกจากมันจะมีน้ำหนักและสั้นกว่าดาบทั่วไป เทย์ก็ไม่รู้อะไรมาก
...ก็ฉันไม่ใช่เซียนดาบนี่น่า...
“เจ้านี่มันน่าอิจฉาชะมัด ขนาดพูดไม่ได้...สาวๆ ยังมองกันเหลียวหลัง” ซีไนท์บ่นพึมพำหลังจากเดินสวนทางกับสาวๆ กลุ่มหนึ่ง แต่แทนที่คนถูกชมจะยิ้มร่ากลับทำท่าคิ้วขมวดและเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นจนเกือบจะกลายเป็นวิ่ง
“อะไร! มีอะไร!” ซีไนท์เร่งฝีเท้าตาม พรางมองไปข้างหน้า
“นั่นมันควันอะไร! ตรงนั้นมันบ้านเจ้านี่ แย่หล่ะ”
คำพูดของซีไนท์ยิ่งทำให้เทย์รีบวิ่ง จากเวลาที่ต้องใช้เกือบชั่วโมงจึงกลายเป็นเพียงไม่กี่สิบนาที
...กระท่อมน้อยที่ได้อยู่พักพิงมาเกือบเดือนไม่เหลืออีกแล้ว เปลวเพลิงได้ลุกโชนไปทั้งหลังเพราะมีแต่วัสดุไวไฟ ...
เทย์ทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง
...และคนที่อยู่ในนั้นล่ะจะเป็นอย่างไร...
...ยาย! ท่านยาย! ฉันต้องไปพาท่านยายออกมา...
เทย์คิดได้ก็ลุกขึ้นวิ่งทันทีและคงจะเข้าถึงกระท่อมแล้วหากไม่โดนจับไว้
“มันอันตรายเจ้าเข้าไปไม่ได้หรอก”
“ปล่อยซีไนท์! ข้าจะไปช่วยท่านยาย ท่านยาย!” เด็กสาวร้องเรียกสุดเสียงและสะบัดมือหวังให้หลุดแล้ววิ่งออกไป ชายหนุ่มได้แต่ตกตะลึงกับเสียงที่เปลงออกมาจากริมฝีปากคู่บางนั้นจนลืมที่จะคว้าตัวร่างเล็กไว้อีกครั้ง เมื่อนึกขึ้นได้ก็สายไปเสียแล้วเพราะร่างนั้นวิ่งเข้าไปในกระท่อมเสียแล้วซึ่งไม่ต่างจากกระโจนเข้ากองไฟ
เทย์ไม่ได้คิดสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย คิดแต่เพียงว่า...ต้องช่วยให้ได้ ดวงตาสีสนิมกวาดสายตามองไปรอบกระท่อมที่ไม่หลงเหลือสภาพเดิม ข้าวของเกะกะ กองไฟลุกไหม้เป็นหย่อมๆ จนสายตาไปสะดุดกับร่างๆ หนึ่งเข้า
...ร่างของแม่เฒ่าทอดยาวอยู่บนพื้น...
ไม่...มันไม่น่าจะเป็นเช่นนี้
ใต้ร่างนั้นมีของเหลวแดงข้นเจิ่งนองที่ไหลออกมาจากบาดแผลลึกบริเวณท้องที่มีมีดสั้นปักอยู่...
“ท่านยาย! ฟื้นสิท่านยาย!” หญิงสาวถลาเข้าไปประคองร่างนั้นทันทีและพยายามหยุดเลือดที่ยังไหลไม่หยุด
“มันเกิดอะไรขึ้น! มันเกิดอะไรขึ้นท่านยาย...บอกข้าสิ”
“เทย์หรอ?” เสียงแหบแห้งกล่าวออกมาเบา ดวงตาของหญิงชราเผยอขึ้นเล็กน้อย
“ท่านยาย! ใช่ ข้าเอง” หญิงสาวยิ้มทั้งน้ำตา
“ข้าจะพาท่านไปหาหมอนายย์นะท่านยาย” หญิงสาวคงจะยกร่างของแม่เฒ่าขึ้นมาแล้ว ถ้าหญิงชราไม่ห้ามไว้
“เสียเวลาเปล่า...ข้าก็หมอคนนึงนะ...เทย์ ข้า...รู้ตัวข้า...ดี” หญิงชราไอออกมา
“เจ้าไปหยิบ...หมอนของข้าออกมาหน่อยเทย์” หญิงสาวจำใจวางร่างผอมบางนั้นลง แล้วเดินไปยังเตียงและหยิบสิ่งที่หญิงชราต้องการมา
“ข้างในนั้นมีจดหมายอยู่...สอง...ฉบับและ...เงิน...จำนวนหนึ่ง ฉบับแรก...ข้าเขียนถึงเจ้า ให้เจ้า...ทำตาม...ที่ข้าสั่ง เข้าใจ...ไ...ไหม” เสียงของหญิงชราเริ่มขาดเป็นช่วงๆ หญิงสาวพยักหน้าด้วยใบหน้าที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำตา
...เปรี๊ยยยย...
เสียงไม้ลั่นราวกับโอดครวญว่ามันคงทานน้ำหนักอยู่ได้อีกไม่นานเป็นสัญญาณแจ้งเตือนว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ปลอดภัยอีกแล้ว แต่เด็กสาวก็ยังดึงดันที่จะอยู่ต่อ
“จง เป็น คนดี ผู้ปกครอง ที่ดี อย่างที่ ชาวแฟร์แลนเทียร์ มุ่งหวัง ...เทเรเซีย” หญิงชรากล่าวคำที่หญิงสาวไม่เข้าใจ ก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายของหญิงชราจะจากไปอย่างไม่มีวันกลับ
“ท่านยายยยยย!” หญิงสาวแผดร้องออกมาสุดเสียง


<--:ThE--$eCret--GuilD:--> กิaaึกaัU จาก"ดาวดึงส์"
http://forum.asura.in.th/index.php?topic=13967.msg269553#msg269553


แมว...จรจัด

  • Jr. Member
  • **
    • กระทู้: 292
  • ~๐ยิ้ม๐ลับ๐ซ่อน๐ลึก๐~
ตอนที่ 4 จดหมายจากผู้ล่วงลับ

“พ่อ ทำไมเจ้านั่นถึงยังไม่ฟื้นอีกล่ะ นี่มันหนึ่งวันเต็มๆ แล้วนะ” ซีไนท์บ่นกับผู้เป็นบิดาถึงอาการของคนที่เขาพากลับมาบ้านอย่างยากลำบากเมื่อวาน ขาทั้งสองข้างของเขาก้าวไปมารอบๆ ห้องทำเอาหมอนายย์เริ่มเวียนหัว
หลังจากที่ซีไนท์หายตกใจกับการได้ยินเสียงของคนที่เขาไม่คิดว่ามันจะพูดได้ เขาก็รีบวิ่งเข้าไปทางกระท่อมแต่เปลวเพลิงนั่นก็ขวางกั้นเขาไว้ เขาฝ่าไปไม่ได้! สิ่งที่เขาทำได้ก็คือ หาถังใส่น้ำที่ตกอยู่ใกล้ๆ ไปตักน้ำที่ลำธารที่อยู่ไม่ไกลนักมาดับเพลิง...แต่มันก็ช้าเหลือเกินจนเขาแทบหมดหวัง จนกระทั่ง คนในหมู่บ้านที่เข้ามาหาของป่าเห็นควันไฟแล้วรีบมาช่วยเหลือ แต่ไฟก็ไหม้ไปทั้งหลังแล้ว...
เมื่อไฟมอดลง เขาจึงเข้าไปในกระท่อมด้วยความหวังอันริบหรี่...
ภาพที่เขาเห็นเกือบทำให้เขาต้องหลั่งน้ำตา...ร่างสองร่างอยู่ตรงนั้น
บริเวณรัศมีหนึ่งเมตรที่สองร่างทอดยาวอยู่ไม่มีแม้แต่สะเก็ดของเปลวเพลิงมากล้ำกลาย และที่สำคัญ...หนึ่งในนั้นยังมีชีวิตอยู่ แม้จะมีบางอย่างที่ผิดแปลกไปจากเดิมก็ตาม...
“ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรนี่นะ จะมีก็แค่รอยฟกช้ำที่ข้อมือ และตามร่างกายนิดหน่อย ก็ที่เจ้าพาเขาไปต่อสู้มา แต่ที่ยังไม่ฟื้นนี่...คงเป็นผลมาจากข้างในมากกว่า” ผู้เป็นพ่อส่ายหน้าเบาๆ หากเป็นอาการทางร่างกายเขาคงรักษาได้ไม่ยากนัก แต่นี่...
“แล้วที่...” ชายหนุ่มทำท่าจะถามต่อแต่หมอนายย์ผู้เป็นพ่อกับรีบรุดไปที่เตียงคนไข้เสียก่อน
“เขาฟื้นแล้ว!”
ร่างบนเตียงขยับลุกขึ้นนั่งช้าๆ โดยมีมือของผู้เป็นหมอประคอง ริมฝีปากแห้งขยับราวกับต้องการพูดบางอย่างแต่กลับเปลี่ยนใจ...
เด็กหนุ่มส่งแก้วบรรจุน้ำสะอาดให้อย่างรู้งาน
“เจ้าพูดออกมาเถอะ ข้าบอกพ่อแล้วว่าเจ้าพูดได้...แต่ไม่พูด”
เทย์หน้าหมอผู้ใจดีก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆ โดยพยายามทำเสียงให้ดูแมนมากที่สุด
“ขอโทษ...ครับ”
ชายกลางคนยิ้มให้ ก่อนจะส่งหมอนใบที่เคยมีสีขาวสะอาดให้กับคนป่วยที่มองหมอนใบนั้นน้ำตาซึม
“ข้าเห็นเจ้ากอดเอาไว้แน่นก็เลยเอามาให้ด้วย” เด็กหนุ่มบอกอย่างเห็นใจปนสงสัย
“ขอบใจ...แล้วท่านยาย...” เทย์ถามเสียงสั่น
“พ่อกับข้าให้ท่านพักอย่างสงบใกล้ๆ กับกระท่อมของท่านแล้ว” ซีไนท์กล่าวและยื่นอาวุธที่คาดว่าเป็นสิ่งสังหารให้กับคนบนเตียงที่ดวงตาวาวโรจน์เปล่งประกายสีทองออกมาชั่วขณะก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีสนิมเช่นเดิม แต่มันก็หาได้เล็ดลอดสายตาของสองพ่อลูกได้ไม่
...ทำไมมันต้องสังหารท่านด้วย...
“ซีไนท์เราออกไปซื้ออาหารเย็นกันดีกว่า ปล่อยให้คนป่วยได้พักผ่อนอีกสักหน่อย” ชายกลางคนก้าวไปคว้าถุงเงินบนโต๊ะก่อนจะหันมาเรียกบุตรชาย
“เจ้าจะกินอะไรเทย์ ข้ากับพ่อจะได้ซื้อมาฝาก” คำถามของเด็กหนุ่มกลายเป็นม่ายเพราะไม่ได้รับคำตอบ
เทย์ยังคงมองหมอนและมีดอย่างไม่สนสิ่งใดราวกับไม่ได้ยินถ้อยคำของเขา
“เทย์! ข้าถามว่าเจ้าจะกินอะไร เจ้ายังไม่ได้กินอะไรมาสองวันแล้วนะ” ชายหนุ่มเริ่มโวยจนผู้เป็นพ่อเริ่มทนไม่ไหว ต้องลากลูกชายตัวดีออกไปนอกบ้าน
เมื่อได้อยู่คนเดียว เด็กสาวจึงค่อยๆ จรดปลายมีดลงบนหมอนและกรีดช้าๆ ปุยของวัสดุที่คล้ายกับขนเป็ดทะลักออกมาทีละน้อยๆ เทย์จึงค่อยๆ แหวกออกจนสัมผัสกับวัตถุบางอย่าง มันคือถุงที่หญิงชราบอกเอาไว้...เงินที่แม่เฒ่าใช้เวลาเก็บทั้งชีวิต น้ำตาที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนได้ไหลทะลักล้นดวงตาคู่งาม แม้ว่าผู้เป็นเจ้าของจะพยายามที่จะเช็ดออกไม่ต่ำกว่าเจ็ดครั้งแล้วก็ตามมันก็ยังคงไม่หยุดไหล เทย์วางถุงเงินลงบนเตียงโดยไม่สนใจแม้แต่น้อยว่ามันมีจำนวนอยู่มากน้อยเพียงใด...
ยังมีของอีกสองชิ้นที่เธอจะต้องหาให้เจอ...ในไม่ช้ามันก็ออกมาปรากฏอยู่ในมือของหญิงสาว เทย์รีบเปิดจดหมายที่จ่าหน้าซองถึงตนทันที

ถึง...เทย์หลานของข้า
   แค่เพียงประโยคแรกก็ทำให้น้ำตาที่เกือบจะเหือดแห้งได้เอ่อล้นออกมาอีกครั้ง และเธอต้องสะกดมันด้วยความยากเย็นกว่าครั้งแรก...
   ข้าเขียนจดหมายนี้ขึ้นหลังจากที่ข้าพบเจ้าได้สองสัปดาห์ หากเจ้าได้พบจดหมายฉบับนี้แล้วหล่ะก็...ข้าก็คงจะไม่ได้อยู่กับเจ้าแล้ว ข้าได้แต่หวังว่ามันคงไม่ใช่ระยะเวลาอันใกล้นี้ที่เจ้าได้พบมัน...
   เรื่องสำคัญเรื่องแรกที่ข้าจะบอกเจ้า คือ แหวนและสร้อยที่เจ้าสวมไว้ มันคือแหวนเจ้าเตโชกับอัญมณีเจ้าวารีนมันเป็นสิ่งที่ยืนยันตัวเจ้าและเป็นสิ่งสำคัญมาก จนผู้คนที่หวังในอำนาจอาจแย่งชิงกันได้เลยทีเดียว เพราะฉะนั้นอย่าให้ใครเห็นหรือแย่งชิงไปได้เด็ดขาด นั่นคือเหตุผลที่ข้าให้ถุงมือกับเจ้า
   เด็กสาวกำมือข้างที่มีแหวนวงนั้นไว้แน่น...หรือว่ามันจะเป็นสาเหตุให้ท่านต้องตาย...ความรู้สึกผิดพุ่งเข้ามาถาโถมจิตใจแสนบอบบางจนร้าวระทม จดหมายในมือถูกกำแน่นจนยับยู่ยี่
   เด็กสาวสูดลมหายใจลึก แขนข้างซ้ายถูกยกขึ้นมาปาดน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาจนมองตัวหนังสือไม่ชัด
   เรื่องที่สองข้าต้องการให้เจ้าไปยังต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ กระท่อมของเรา ให้เจ้าขุดทางทิศเหนือของต้นไม้โดยห่างจากต้นประมาณสองเมตร เจ้าจะพบหีบหนึ่งใบ ภายในจะมีของสองสิ่ง สิ่งแรก...คือตำราการปรุงยา การรักษา และสมุนไพรต่างๆ ที่ข้าใช้เวลาในการศึกษามาตลอดชีวิตของข้า และสิ่งที่สอง...คือเหรียญจำนวนสองเหรียญที่ไม่มีวันออกเหมือนกันได้
   เหรียญสองเหรียญกับตำรายา...เด็กสาวเริ่มตั้งใจอ่านบรรทัดต่อไป
   เรื่องที่สาม เรื่องสุดท้าย ข้าต้องการให้เจ้าเดินทางไปยังเมืองหลวงและนำจดหมายพร้อมเหรียญทั้งสองที่อยู่ในหีบไปให้กับคนคนหนึ่ง เขามีชื่อว่า “เอ็นด์ดราย ออสม่า” เป็นราชองครักษ์คนสนิทของเจ้าชายอาเรียสผู้สำเร็จราชการ อาจจะเป็นงานที่ยากสักหน่อยแต่ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้ เจ้าคงสงสัยว่าเขาเป็นใคร...เขาเป็นหลานชายข้าเอง ข้าต้องการให้เจ้าได้เข้าไปอยู่และเรียนรู้หลายๆ อย่างที่นั่น เชื่อข้าเถอะ ที่กระท่อมชายป่านี่ ไม่เหมาะกับเจ้าหรอก...
   ...เอ็นด์ดราย ออสม่า...หลานของท่านยาย
   เงินที่เจ้าพบพร้อมกับจดหมายนี้ ข้าขอมอบให้เจ้าด้วยความเต็มใจ และรู้ด้วยว่าเจ้าจะใช้มันให้เกิดประโยชน์ได้เป็นอย่างดี ตลอดระยะเวลาสองสัปดาห์ที่ข้าได้อยู่กับเจ้ามันเป็นช่วงเวลาที่ข้ามีความสุขที่สุดเท่าที่หญิงแก่ๆ คนหนึ่งพอจะมีได้ ขอบอกว่าเจ้าเรียนรู้ได้เร็วมาก ยกเว้นเรื่องพลังโนนเวลซึ่งข้าไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าถึงใช้มันไม่ได้ อาจเป็นเพราะยังไม่ถึงเวลาหรือไม่ก็...ถูกผนึกเอาไว้! อย่างไรก็ตาม ข้าก็เชื่อว่าเจ้ามีพลังนี้แน่นอน ข้าขอยืนยัน! ขอเพียงให้เจ้าเชื่อมั่นเท่านั้น...
   สุดท้ายนี้ หากข้ามีอันเป็นไปจากเหตุการณ์ที่ไม่ธรรมดาหรือถูกสังหาร ข้าไม่ต้องการให้เจ้าล้างแค้นให้ข้าเด็ดขาด!!! อย่าโทษตัวเองว่าเป็นสาเหตุให้ข้าต้องมีอันเป็นไป...มันคือชะตากรรมของข้า ไม่ใช่ความผิดของเจ้า!!!
                           ...เพื่อตัวเจ้าเอง...
                              แม่เฒ่า


“เจ้าจะให้ข้าขุดหาอะไรกันแน่! นี่มันเกือบเมตรแล้วนะ ข้ายังไม่เห็นว่ามันมีอะไรเลย” เด็กหนุ่มบ่นเป็นหมีกินผึ้ง
“นี่ถ้าไม่เห็นว่ายังไม่หายดีล่ะก็ข้าไม่มาช่วยหรอก พูดได้ก็ไม่ยอมพูดปล่อยให้ข้าพูดอยู่คนเดียว พูดออกมาซะบ้างก็ได้ จะได้ไม่มีใครเขาหาว่าเจ้าเป็นใบ้”
...ก็นายไงที่ชอบหาว่าเราเป็นใบ้ แล้วใครใช้ให้มากันเล่า ขนาดแอบออกมาตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ก็ยังแอบตามมาจนมาถึงนี่ พอเราตั้งท่าจะขุดก็รีบมาห้ามแล้วก็อาสาจะขุดให้เอง แล้วยังจะมาทำเป็นบ่น...
เทย์ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ก่อนจะนึกถึงเรื่องประหลาดเมื่อคืนที่ทำเอาร้องแทบโรงหมอแตก...
...ผะ...ผม ทำไมถึงเป็นแบบนี้!!!...
ก่อนจะคว้ามีดขึ้นมาจะตัดให้มันสั้นลง แต่ไอ้ซีไนท์ที่เพิ่งจะกลับมาเกิดเห็นเข้านึกว่าจะฆ่าตัวตาย...เลยได้แย่งมีดกันยกใหญ่ ดีที่หมอนายย์มาห้ามทัพ
...ก็ใครมันจะไปรู้ว่าแค่เพียงข้ามคืนผมของตัวเองจะยาวออกมาจนถึงกลางหลัง และที่แย่ไปกว่านั้น...จากผมสีดำเหมือนถ่านหุงต้มจะกลายเป็นสีฟ้าแถมแฝงประกายสีทองอย่างกับทะเลต้องแสงอาทิตย์อย่างนี้...
...สุดท้าย หมอนายย์ก็ต้องอธิบายให้ฟังว่ามันเป็นผลจากการแปรผันของพลังโนนเวลในร่างกายที่เกิดปะทุขึ้นมาอย่างกระทันหัน ที่สำคัญแม้อยากจะตัดขนาดไหน...ผมที่ยาวขึ้นจากเหตุผลนี้จะตัดไม่ขาด...
...ส่วนเหตุผลที่ผมเปลี่ยนสีไป ซีไนท์ได้ตั้งข้อสังเกตว่าเทย์คงจะมีญาติฝ่ายไหนเป็นชาวใต้แน่ๆ เพราะคนที่นั่นจะมีผมสีนี้ทั้งนั้น และข้อสังเกตนี้ก็ยังทำให้หญิงสาวสงสัยอยู่ไม่น้อย...
...ไม่ใช่คนที่นี่ แต่มีญาติเป็นชาวใต้...
สุดท้ายเธอก็ได้แต่รวบผมไว้อย่างลวกๆ ผมยาวๆ แบบนี้น่ารำคาญชะมัด
“พูดได้แต่ไม่ค่อยจะพูด ชอบทำตัวเป็นคนใบ้” เสียงของซีไนท์ดังขึ้นแทรกความคิดของหญิงสาว
...ไม่ได้ดูตัวเองเลยว่าอย่างกับโดนผีเจาะปาก มันถึงได้พูดอย่างกับไม่ได้มีแค่ปากเดียว...
แกร๊ก...แกร๊ก...
“ข้าว่าข้าเจออะไรบางอย่างแล้วหล่ะ!” ซีไนท์พูดอย่างตื่นเต้นก่อนจะเร่งขุด ในที่สุดหีบเหล็กขนาดกว้างครึ่งฟุตยาวหนึ่งฟุตสูงครึ่งฟุตก็ถูกยกขึ้นมาอยู่บนพื้นด้านบน
บนฝาหีบเป็นรูปนกชนิดหนึ่ง ตัวของมันสีแดง แผงคอ จะงอยปากยาวดูแหลมคม และขาทั้งคู่ของมันกลับเป็นสีทองอร่าม หางของมันยาวราวกับหางของนกยูง ตรงปลายหางมีสีฟ้าแซมเช่นเดียวกับปลายปีก แต่ที่สะดุดตาเทย์มากที่สุด...ก็คือ ดวงตาสีน้ำเงินเข้ม...
“ทำไมมันถึงได้ดูเก่าแก่ขนาดนี้ล่ะเนี่ย! แต่ไม่ยักกะใส่กุญแจ...หวังว่ามันคงจะยังเปิดได้นะ” ว่าแล้วชายหนุ่มจึงทำท่าว่าจะเปิดแต่กลับเปิดไม่ออก
“กะแล้วเชียว สงสัยต้องใช้ตัวช่วย!” ว่าแล้วชายหนุ่มก็หยิบมีดสั้นเล่มเล็กขึ้นมา
“นั่นเจ้าจะทำอะไร!” เทย์รีบคว้าหีบจากมือชายหนุ่มทันที
“ก็ข้าจะงัดฝาออกมา...เจ้าเปิดไม่ออกหรอก ขนาดข้ายังเปิดไม่ออกเลย” ซีไนตอบแล้วจึงลุกขึ้นโดยไม่ได้สังเกตเลยว่า เมื่อหีบสัมผัสมือของเทย์ ได้มีแสงสีแดงลุกขึ้นที่ดวงตาของนกบนฝาหีบจนดูราวกับว่า...นกตัวนั้นมีชีวิตและลืมตาขึ้นแล้วรูปนกจึงค่อยๆ เลือนหายไปราวกับไม่เคยปรากฏมาก่อน...
“อ่ะ...นี่ไง เปิดออกแล้ว แค่ขยับๆ หน่อย” เสียงที่ดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มต้องหันมาดู
“เป็นไปไม่ได้!”
...ก็ข้าทั้งขยับ เขย่า ดึง (แอบ)งัด (แอบ)แงะ เท่าไหร่ก็ไม่ออก หรือหีบใบนี้จะมีปัญหา...
เทย์หยิบหนังสือสองสามเล่มที่อยู่ในนั้นออกมาแล้วจึงเห็นโลหะทรงกลมแบนอยู่ในนั้น เหรียญแรกเป็นรูปเดียวกับนกบนฝาหีบซึ่งเป็นลายเดียวกันทั้งสองด้าน เช่นเดียวกันกับเหรียญที่สองดูเหมือนจะเป็นรูปมังกรคาบหยดน้ำทั้งสองด้านเช่นกัน เทย์จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแม่เฒ่าถึงได้บอกว่ามันไม่มีทางที่จะเหมือนกัน...


หมอนายย์บอกว่าถ้าต้องการพบราชองครักษ์ก็ต้องเข้าไปในวังหลวง และการเข้าไปในวังหลวงในตอนนี้ทำได้วิธีเดียวก็คือ...เป็นราชองครักษ์ที่ประกาศคัดเลือกอยู่ ซึ่งมีคนที่ต้องการจะเป็นอยู่แถวๆ นี้ เพียงแต่...
“เจ้าก็ไปสมัครกับข้าสิ เรื่องอะไรจะมาฝากให้ข้าทำให้”
แล้วนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เทย์ต้องออกเดินทางในวันนี้ พร้อมกับซีไนท์และ...มิวเชคคนดั้งหัก ที่อยู่ๆ ก็นึกอยากจะไปเที่ยวเมืองหลวงขึ้นมา
แต่นั่นก็ดูจะไม่เป็นปัญหาเท่าเพื่อนร่วมทางอีกเกือบยี่สิบคนที่ตามหมอนั่นมาด้วย โดยมีเหตุผลว่า…
“พวกพี่เขาจะไปสมัครเป็นทหารเลยจะไปด้วย” คนดั้งหักตอบยิ้มๆ แบบที่น่าจะหาไม้หน้าสามหรือคมแฝกมาฟาดสักโป๊กสองโป๊ก
“งั้นก็ตามใจ” ซีไนท์ยอมรับเหตุผลทันทีเช่นกัน
...เจ้าพวกนี้มันไม่คิดกันเลยหรือไงว่าคนในเมืองเขาจะรู้สึกยังไง อยู่ดีๆ ชายหนุ่มกลุ่มใหญ่พร้อมอาวุธครบมือเดินเข้าไปในเมืองพร้อมๆ กัน...
...มีหวังคิดว่าโจรมาปล้นเมือง หรือไม่ก็คิดว่ามีข้าศึกมาบุกเสียก็ไม่รู้..
“เจ้าเป็นไรไปเทย์ ดูทำหน้าเข้าอย่างกับไม่ได้อึมาสามวัน” คนปากดีก็ยังคงเป็นคนปากดีวันยังค่ำ
“ไหน!ไหน! ข้าอยากเห็น คนที่ไม่ได้อึมาสามวันนี่หน้าตาจะเป็นยังไง” มิวเชครีบรับมุขวิ่งวนรอบๆ ตัวเธอมองซ้ายมองขวาอย่างสำรวจ
“เจ้าไม่อยากให้ดั้งเจ้าหายหรือไง...มิวเชค” เทย์ถามกลับเสียงต่ำ กำปั้นถูกยกขึ้นมาตรงหน้ามิวเชค ทำเอาคนดั้งหักคอหด
“ก็เจ้าเป็นอะไรล่ะ ดูเจ้าทำหน้าเข้า... ตาก็ดูลอยๆ ชอบกล คิ้วก็แทบจะชนกัน ปากงี้เม้มจนจะเป็นเส้นตรงอยู่แล้ว” ซีไนท์ว่าพรางทำหน้าตาประกอบชวนทะเล้น
“ถ้าเจ้ายังกังวนเรื่องที่พวกเราเดินทางกันมาเยอะขนาดนี้ล่ะก็ หยุดกังวลได้เลย พื้นที่แถบนี้โจรมันชุกชุม พาคนไปเยอะๆ แหละดีแล้ว อีกอย่าง...บ้านข้ามันดูเหมือนโรงฝึกฝนการต่อสู้ก็จริง แต่ตามกฎหมายแล้วบ้านข้าเป็นกองกำลังคุ้มกันที่ถูกต้องตามกฎหมายนะ เพราะฉะนั้นการเดินทางของพวกเราก็แค่กลุ่มการค้ากลุ่มหนึ่งเท่านั้น” มิวเชคอธิบาย
“เนียนมากเลยนะ สงสัยพวกเราจะค้าอัญมณีสำคัญนะ คนคุ้มกันเกือบยี่สิบคนอย่างกับคณะทูต” เทย์ประชด
“แล้วใครเป็นพ่อค้าคุมกระบวนล่ะ ข้าจะได้ส่งขึ้นไปนั่งสบายๆ บนเกวียน”
ชายหนุ่มทั้งสองหันมามองหน้ากันอย่างครุ่นคิดกับคำถามของหญิงสาว แล้วดวงตาทั้งสองคู่ก็กันมามองเทย์เป็นตาเดียว

   
   เทย์ที่นั่งอยู่บนเกวียนถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่หนึ่งร้อยสิบเอ็ดในขณะที่คณะเดินทางได้เดินทางออกมาจากหมู่บ้านได้สามวัน และตอนนี้ก็เป็นเวลาที่จวนเจียนจะค่ำเต็มที ในขณะที่มิวเชคเริ่มให้คนอื่นๆ ค้นหาจุดที่จะหยุดพักในคืนนี้
   “นายท่านขอรับ! ข้างหน้ามีลำธารเล็กๆ พวกเราจะไปหยุดพักแรมกันที่ตรงนั้นนะขอรับ” มิวเชคพูดออกมาเร็วปรือ ก่อนจะรีบกระโดดให้ห่างจากเกวียนให้มากที่สุด เพราะสิ่งที่ตามชายหนุ่มออกมาก็คือ...กิ่งไม้กิ่งไม่เล็กนักที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสมุนไพรหายากชนิดหนึ่ง ที่เขาบอกว่ามันคือสินค้าที่จะนำไปขายในเมือง
   ลำธารที่ว่าอยู่ไม่ไกลจริงๆ เพราะหลังจากชายหนุ่มมาบอกไม่ถึงสิบนาทีขบวนสินค้ากำมะลอก็หยุดพัก บางส่วนเริ่มก่อไฟ หาอาหารสด จัดเวรยาม และบางส่วนก็ลงเล่นน้ำชำระล้างร่างกายที่ไม่ได้ถูกน้ำมาสามวันเต็ม
   แต่...ถึงแม้ว่าเทย์จะอยากล้างคราบเหงื่อไคลแค่ไหนก็ตาม จุดที่หนุ่มๆ อาบน้ำกันอยู่ก็ถือว่าเป็นจุดต้องห้าม เด็กสาวจึงสาวเท้าไปทางต้นน้ำจนพบสถานที่ลับสายตาพอสมควรก่อนจะนั่งลงบนโขดหินใกล้ๆ แล้ววักน้ำขึ้นมาล้างหน้าจนรู้สึกสดชื่นขึ้น เท้าเปลือยเปล่าจึงค่อยๆ สัมผัสกับผิวน้ำเย็นที่กำลังไหลเอื่อยๆ อยู่ด้านล่าง เทย์ค่อยๆ ลงสู่ผิวน้ำอย่างระมัดระวัง ไม่ใช่เพราะกลัวเปียก...แต่เป็นเพราะเหตุผลที่น่าขันที่สุด เธอว่ายน้ำไม่เป็น
   ก็ตั้งแต่เล็กจนโต...ยังไม่เคยไปฝึกที่ไหนเลยสักครั้ง ยิ่งตอนอยู่สถานสงเคราะห์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ในนั้นไม่มีสระว่ายน้ำให้เหล่าเด็กกำพร้าไปหัดว่ายหรอก และตอนไปอยู่กับนิโคลยิ่งแล้วใหญ่...มีแต่เรียนกับเรียน(และอ่านนิยาย)
   ...เคร้ง...เคร้ง...
...ตูม...พรึบ...
เสียงที่ได้ยินอยู่ไม่ไกลนักทำให้เทย์ที่เพิ่งพันสายรัดข้อมือเสร็จผวาลุกขึ้นหยิบดาบสั้นแทบไม่ทัน
...สวบ...สวบ...
...สวบ...สวบ...สวบ...สวบ...สวบ
เสียงย่ำเท้าดังใกล้เข้ามา หญิงสาวรีบกระโดดไปยังพุ่มไม้ที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดแล้วซ่อนตัวอยู่ตรงนั้น หัวใจของเด็กสาวเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะด้วยความรู้สึกตื่นเต้นปนตกใจ...
...ไม่กี่อึดใจ ภาพที่เข้ามาสู่สายตาก็เหมือนกับได้ดูภาพยนตร์สามมิติที่นอกจากจะได้เห็น ได้ยิน แถมยังได้กลิ่นคาวเลือดที่ลอยคละคลุ้งมาตามสายลมที่ทำเอาเด็กสาวแทบอาเจียน
ร่างของชายกลางคนที่โชกไปด้วยเลือดถูกประคองไว้อย่างทุลักทุเลจากชายหนุ่มที่หน้าตาละม้ายคล้ายกันในขณะที่มือของคนทั้งสองยังคงถือดาบไว้แน่น ยังมีชายอีกสองคนที่คอยคุ้มกันอยู่ข้างหลัง ทั้งหมดกำลังถอยล่นมาจุดที่เทย์ยืนอยู่เมื่อครู่ หญิงสาวยังคงมองไม่เห็นว่าทั้งสี่หนีอะไร...หรือใครมา
“ทนอีกหน่อยนะท่านพ่อ” ชายหนุ่มพูดกับชายคนที่ตนประคอง
“ทิ้งข้าไว้ที่นี่ แล้วหนีไปซะ อย่าให้ข้าต้องเป็นตัวถ่วงให้พวกเจ้าต้องมาตายกันที่นี่” ชายกลางคนกล่าวอย่างถอดใจ
“ไม่! ต่อให้ข้าต้องตาย ข้าก็จะไม่ทิ้งท่าน”
...เฟี้ยว...ว.....ฉึก...
เสียงโลหะบางลอยผ่านอากาศปักลงที่ชายคนหนึ่งทางขวามือล้มลง ก่อนที่อีกอันจะปักลงที่ชายอีกคนทางขวามือ ทำเอาเด็กสาวอ้าปากค้างด้วยความตกใจและคงร้องออกไปแล้วถ้าไม่มีมือหนามาปิดไว้ หลังจากนั้นมือสังหารในชุดดำมิดชิดสี่คนจึงปรากฏตัวขึ้น
“มือของเจ้ามันเค็มจริงๆ เลยซีไนท์” หญิงสาวกระซิบเบาๆ
“จตุรธาตุ พวกเราไม่เคยมีความแค้นเคืองกัน ใครว่าจ้างเจ้ามาทำร้ายพวกข้า” ชายกลางคนถามขึ้น
“น่าเสียดายจริงๆ ที่หัวหน้าราชองครักษ์ฝีมือดีอย่างท่านเอ็นด์ดราย ออสม่า ต้องมาจบชีวิตในป่าเขาเช่นนี้” ชายผู้ที่อยู่นำหน้ากล่าวชื่อที่เทย์ได้ยินทำเอาหญิงสาวหูพึ่ง
“นี่ท่านคงคิดจะไปหาแม่เฒ่าที่ชุมเบต้าใช่ไหม...พวกข้าก็แค่หวังดีจะส่งให้ท่านได้ไปพบกับนางอย่างไรล่ะ...555+” หนึ่งในสี่ผู้ที่ถือมีดเล็กที่เทย์จำได้ติดตากำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“เหลือแค่นี้เจ้าสามคนจัดการไปก็แล้วกัน ปัฐธัน วารีเซ่ วาโยน่า ข้าจะรีบกลับไปรายงานท่านผู้นั้น” ชายในชุดดำคนนั้นกล่าวแล้วกระโดดหายออกไปในความมืด
“พวกเจ้าหมายความว่าไง หรือว่า...” ชายกลางคนที่หน้าซีดขาวอยู่แล้วเพราะเสียเลือดมากนั้นกลับซีดขึ้นไปอีก
“ท่านเข้าใจถูกแล้ว ทีนี้ก็เตรียมใจไปพบนางในนรกได้แล้ว!” ชายหนุ่มที่ใช้ดาบขนาดใหญ่ยกดาบขึ้นฟาดไปยังจุดหมาย
...แกร๊ก...
ชายหนุ่มที่ประคองผู้เป็นบิดารีบตั้งรับอย่างทันท่วงที
“ยังมีแรงอยู่อีกรึ เจ้าทำให้ข้าแปลกใจ”
“ยาพิษกระจอกๆ ของพวกเจ้าทำอะไรข้าไม่ได้หรอก” ชายหนุ่มตอบกับชายที่ตนประฝีมือด้วยที่ดูจะมีฝีมือไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน จนทำให้เขาค่อยๆ ถอยห่างจากผู้เป็นบิดาอย่างไม่รู้ตัว
...เฟี้ยว..ว...
...แกรก...ตุบ...ฉึก
มีดสั้นปักลงสู่พื้นดินพลาดเป้าหมายไปอย่างน่าเสียดายเพียงเพราะ...ก้อนหินก้อนเดียว
“นั่นใคร!” เจ้าของมีดถามเสียงเครียดด้วยไม่นึกว่าจะมีใครเข้ามามีเอี่ยว
เด็กสาวก็ลุกขึ้นมาทันทีอย่างที่หนุ่มข้างๆ รั้งไว้ไม่ทัน พร้อมทั้งปาวัตถุบางอย่างกลับไป
“เอาของเจ้าคืนไป!”
“หึ...เจ้าเด็กนี่แส่หาเรื่องไปลงนรกเสียแล้ว” ชายชุดดำนามว่าวารีเซ่คำราม
“คิดหรือว่าเจ้าคนเดียวจะสู้ข้าได้...หึ...หึ” มันหัวเราะในลำคอ
“แล้วถ้ามีพวกข้าด้วยล่ะ” มิวเชค ซีไนท์ และคนอื่นๆ อีกสิบกว่าคนก้าวออกมาพร้อมๆ กันจนมันชะงัก
“มิวเชคเจ้าช่วยพาท่านเอ็นด์ดรายออกไปก่อน และห้ามเลือดให้ด้วย” เทย์สั่ง
“แต่...”
“นี่เป็นคำสั่ง!”
มิวเชคก้มหัวรับแล้วเรียกให้คนที่อยู่ใกล้ที่สุดมาช่วยกันพาร่างของชายกลางคนที่แทบจะสิ้นสติออกไป เทย์หันมาประจันหน้ากับชายชุดดำอีกครั้ง ในขณะที่ชายชุดดำอีกคนพยายามขยับตัวจะตามมิวเชคไปแต่ซีไนท์กลับขวางไว้ได้ทัน ในขณะที่คนอื่นๆ ยังคงคอยดูเชิงในวงนอก แต่ค่อยๆ ตีวงแคบเข้ามา
“เจ้าสินะที่เป็นคนสังหารแม่เฒ่า!” เทย์ตะคอกถามด้วยความโกรธอย่างที่ไม่เคยมาก่อน สายตาเพ่งมองอยู่ที่มีดสั้นอันเป็นอาวุธประจำกายของชายชุดดำ
“เทย์! ระวังตัวหน่อยนะ ข้าได้ยินมาว่าพวกจตุรธาตุเป็นพวกนิยมใช้พิษ” ซีไนท์ตะโกนบอกก่อนที่จะหันกลับไปรับมือกับชายที่ถือสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นอาวุธ มันคือ...พัด... แต่เทย์ก็ไม่มีเวลาที่จะสนใจมากนักเพราะทางเธอก็กำลังตึงมืออยู่เหมือนกัน
...เฟี้ยว...ว...ฉึก
เสียงใบมีดพุ่งผ่านหน้าหญิงสาวไปอย่างฉิวเฉียด ก่อนจะปักลงบนต้นไม้ที่อยู่ใกล้ ฉับพลันใบมีดปักลงไปถึงครึ่งด้ามก็สลายไปทันที ในขณะที่ต้นไม้ที่โชคร้ายเฉาตายทันตาเห็น พวกมันเริ่มใช้พิษแล้ว...


<--:ThE--$eCret--GuilD:--> กิaaึกaัU จาก"ดาวดึงส์"
http://forum.asura.in.th/index.php?topic=13967.msg269553#msg269553


♫♬♪§†Ҹ[£]ë ⓜⓘⓝⓔ♫♬♪

  • style mine▶☺☻◄
  • Jr. Member
  • **
    • กระทู้: 338
ตอนที่ 4 จดหมายจากผู้ล่วงลับ

“พ่อ ทำไมเจ้านั่นถึงยังไม่ฟื้นอีกล่ะ นี่มันหนึ่งวันเต็มๆ แล้วนะ” ซีไนท์บ่นกับผู้เป็นบิดาถึงอาการของคนที่เขาพากลับมาบ้านอย่างยากลำบากเมื่อวาน ขาทั้งสองข้างของเขาก้าวไปมารอบๆ ห้องทำเอาหมอนายย์เริ่มเวียนหัว
หลังจากที่ซีไนท์หายตกใจกับการได้ยินเสียงของคนที่เขาไม่คิดว่ามันจะพูดได้ เขาก็รีบวิ่งเข้าไปทางกระท่อมแต่เปลวเพลิงนั่นก็ขวางกั้นเขาไว้ เขาฝ่าไปไม่ได้! สิ่งที่เขาทำได้ก็คือ หาถังใส่น้ำที่ตกอยู่ใกล้ๆ ไปตักน้ำที่ลำธารที่อยู่ไม่ไกลนักมาดับเพลิง...แต่มันก็ช้าเหลือเกินจนเขาแทบหมดหวัง จนกระทั่ง คนในหมู่บ้านที่เข้ามาหาของป่าเห็นควันไฟแล้วรีบมาช่วยเหลือ แต่ไฟก็ไหม้ไปทั้งหลังแล้ว...
เมื่อไฟมอดลง เขาจึงเข้าไปในกระท่อมด้วยความหวังอันริบหรี่...
ภาพที่เขาเห็นเกือบทำให้เขาต้องหลั่งน้ำตา...ร่างสองร่างอยู่ตรงนั้น
บริเวณรัศมีหนึ่งเมตรที่สองร่างทอดยาวอยู่ไม่มีแม้แต่สะเก็ดของเปลวเพลิงมากล้ำกลาย และที่สำคัญ...หนึ่งในนั้นยังมีชีวิตอยู่ แม้จะมีบางอย่างที่ผิดแปลกไปจากเดิมก็ตาม...
“ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรนี่นะ จะมีก็แค่รอยฟกช้ำที่ข้อมือ และตามร่างกายนิดหน่อย ก็ที่เจ้าพาเขาไปต่อสู้มา แต่ที่ยังไม่ฟื้นนี่...คงเป็นผลมาจากข้างในมากกว่า” ผู้เป็นพ่อส่ายหน้าเบาๆ หากเป็นอาการทางร่างกายเขาคงรักษาได้ไม่ยากนัก แต่นี่...
“แล้วที่...” ชายหนุ่มทำท่าจะถามต่อแต่หมอนายย์ผู้เป็นพ่อกับรีบรุดไปที่เตียงคนไข้เสียก่อน
“เขาฟื้นแล้ว!”
ร่างบนเตียงขยับลุกขึ้นนั่งช้าๆ โดยมีมือของผู้เป็นหมอประคอง ริมฝีปากแห้งขยับราวกับต้องการพูดบางอย่างแต่กลับเปลี่ยนใจ...
เด็กหนุ่มส่งแก้วบรรจุน้ำสะอาดให้อย่างรู้งาน
“เจ้าพูดออกมาเถอะ ข้าบอกพ่อแล้วว่าเจ้าพูดได้...แต่ไม่พูด”
เทย์หน้าหมอผู้ใจดีก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆ โดยพยายามทำเสียงให้ดูแมนมากที่สุด
“ขอโทษ...ครับ”
ชายกลางคนยิ้มให้ ก่อนจะส่งหมอนใบที่เคยมีสีขาวสะอาดให้กับคนป่วยที่มองหมอนใบนั้นน้ำตาซึม
“ข้าเห็นเจ้ากอดเอาไว้แน่นก็เลยเอามาให้ด้วย” เด็กหนุ่มบอกอย่างเห็นใจปนสงสัย
“ขอบใจ...แล้วท่านยาย...” เทย์ถามเสียงสั่น
“พ่อกับข้าให้ท่านพักอย่างสงบใกล้ๆ กับกระท่อมของท่านแล้ว” ซีไนท์กล่าวและยื่นอาวุธที่คาดว่าเป็นสิ่งสังหารให้กับคนบนเตียงที่ดวงตาวาวโรจน์เปล่งประกายสีทองออกมาชั่วขณะก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีสนิมเช่นเดิม แต่มันก็หาได้เล็ดลอดสายตาของสองพ่อลูกได้ไม่
...ทำไมมันต้องสังหารท่านด้วย...
“ซีไนท์เราออกไปซื้ออาหารเย็นกันดีกว่า ปล่อยให้คนป่วยได้พักผ่อนอีกสักหน่อย” ชายกลางคนก้าวไปคว้าถุงเงินบนโต๊ะก่อนจะหันมาเรียกบุตรชาย
“เจ้าจะกินอะไรเทย์ ข้ากับพ่อจะได้ซื้อมาฝาก” คำถามของเด็กหนุ่มกลายเป็นม่ายเพราะไม่ได้รับคำตอบ
เทย์ยังคงมองหมอนและมีดอย่างไม่สนสิ่งใดราวกับไม่ได้ยินถ้อยคำของเขา
“เทย์! ข้าถามว่าเจ้าจะกินอะไร เจ้ายังไม่ได้กินอะไรมาสองวันแล้วนะ” ชายหนุ่มเริ่มโวยจนผู้เป็นพ่อเริ่มทนไม่ไหว ต้องลากลูกชายตัวดีออกไปนอกบ้าน
เมื่อได้อยู่คนเดียว เด็กสาวจึงค่อยๆ จรดปลายมีดลงบนหมอนและกรีดช้าๆ ปุยของวัสดุที่คล้ายกับขนเป็ดทะลักออกมาทีละน้อยๆ เทย์จึงค่อยๆ แหวกออกจนสัมผัสกับวัตถุบางอย่าง มันคือถุงที่หญิงชราบอกเอาไว้...เงินที่แม่เฒ่าใช้เวลาเก็บทั้งชีวิต น้ำตาที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนได้ไหลทะลักล้นดวงตาคู่งาม แม้ว่าผู้เป็นเจ้าของจะพยายามที่จะเช็ดออกไม่ต่ำกว่าเจ็ดครั้งแล้วก็ตามมันก็ยังคงไม่หยุดไหล เทย์วางถุงเงินลงบนเตียงโดยไม่สนใจแม้แต่น้อยว่ามันมีจำนวนอยู่มากน้อยเพียงใด...
ยังมีของอีกสองชิ้นที่เธอจะต้องหาให้เจอ...ในไม่ช้ามันก็ออกมาปรากฏอยู่ในมือของหญิงสาว เทย์รีบเปิดจดหมายที่จ่าหน้าซองถึงตนทันที

ถึง...เทย์หลานของข้า
   แค่เพียงประโยคแรกก็ทำให้น้ำตาที่เกือบจะเหือดแห้งได้เอ่อล้นออกมาอีกครั้ง และเธอต้องสะกดมันด้วยความยากเย็นกว่าครั้งแรก...
   ข้าเขียนจดหมายนี้ขึ้นหลังจากที่ข้าพบเจ้าได้สองสัปดาห์ หากเจ้าได้พบจดหมายฉบับนี้แล้วหล่ะก็...ข้าก็คงจะไม่ได้อยู่กับเจ้าแล้ว ข้าได้แต่หวังว่ามันคงไม่ใช่ระยะเวลาอันใกล้นี้ที่เจ้าได้พบมัน...
   เรื่องสำคัญเรื่องแรกที่ข้าจะบอกเจ้า คือ แหวนและสร้อยที่เจ้าสวมไว้ มันคือแหวนเจ้าเตโชกับอัญมณีเจ้าวารีนมันเป็นสิ่งที่ยืนยันตัวเจ้าและเป็นสิ่งสำคัญมาก จนผู้คนที่หวังในอำนาจอาจแย่งชิงกันได้เลยทีเดียว เพราะฉะนั้นอย่าให้ใครเห็นหรือแย่งชิงไปได้เด็ดขาด นั่นคือเหตุผลที่ข้าให้ถุงมือกับเจ้า
   เด็กสาวกำมือข้างที่มีแหวนวงนั้นไว้แน่น...หรือว่ามันจะเป็นสาเหตุให้ท่านต้องตาย...ความรู้สึกผิดพุ่งเข้ามาถาโถมจิตใจแสนบอบบางจนร้าวระทม จดหมายในมือถูกกำแน่นจนยับยู่ยี่
   เด็กสาวสูดลมหายใจลึก แขนข้างซ้ายถูกยกขึ้นมาปาดน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาจนมองตัวหนังสือไม่ชัด
   เรื่องที่สองข้าต้องการให้เจ้าไปยังต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ กระท่อมของเรา ให้เจ้าขุดทางทิศเหนือของต้นไม้โดยห่างจากต้นประมาณสองเมตร เจ้าจะพบหีบหนึ่งใบ ภายในจะมีของสองสิ่ง สิ่งแรก...คือตำราการปรุงยา การรักษา และสมุนไพรต่างๆ ที่ข้าใช้เวลาในการศึกษามาตลอดชีวิตของข้า และสิ่งที่สอง...คือเหรียญจำนวนสองเหรียญที่ไม่มีวันออกเหมือนกันได้
   เหรียญสองเหรียญกับตำรายา...เด็กสาวเริ่มตั้งใจอ่านบรรทัดต่อไป
   เรื่องที่สาม เรื่องสุดท้าย ข้าต้องการให้เจ้าเดินทางไปยังเมืองหลวงและนำจดหมายพร้อมเหรียญทั้งสองที่อยู่ในหีบไปให้กับคนคนหนึ่ง เขามีชื่อว่า “เอ็นด์ดราย ออสม่า” เป็นราชองครักษ์คนสนิทของเจ้าชายอาเรียสผู้สำเร็จราชการ อาจจะเป็นงานที่ยากสักหน่อยแต่ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้ เจ้าคงสงสัยว่าเขาเป็นใคร...เขาเป็นหลานชายข้าเอง ข้าต้องการให้เจ้าได้เข้าไปอยู่และเรียนรู้หลายๆ อย่างที่นั่น เชื่อข้าเถอะ ที่กระท่อมชายป่านี่ ไม่เหมาะกับเจ้าหรอก...
   ...เอ็นด์ดราย ออสม่า...หลานของท่านยาย
   เงินที่เจ้าพบพร้อมกับจดหมายนี้ ข้าขอมอบให้เจ้าด้วยความเต็มใจ และรู้ด้วยว่าเจ้าจะใช้มันให้เกิดประโยชน์ได้เป็นอย่างดี ตลอดระยะเวลาสองสัปดาห์ที่ข้าได้อยู่กับเจ้ามันเป็นช่วงเวลาที่ข้ามีความสุขที่สุดเท่าที่หญิงแก่ๆ คนหนึ่งพอจะมีได้ ขอบอกว่าเจ้าเรียนรู้ได้เร็วมาก ยกเว้นเรื่องพลังโนนเวลซึ่งข้าไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าถึงใช้มันไม่ได้ อาจเป็นเพราะยังไม่ถึงเวลาหรือไม่ก็...ถูกผนึกเอาไว้! อย่างไรก็ตาม ข้าก็เชื่อว่าเจ้ามีพลังนี้แน่นอน ข้าขอยืนยัน! ขอเพียงให้เจ้าเชื่อมั่นเท่านั้น...
   สุดท้ายนี้ หากข้ามีอันเป็นไปจากเหตุการณ์ที่ไม่ธรรมดาหรือถูกสังหาร ข้าไม่ต้องการให้เจ้าล้างแค้นให้ข้าเด็ดขาด!!! อย่าโทษตัวเองว่าเป็นสาเหตุให้ข้าต้องมีอันเป็นไป...มันคือชะตากรรมของข้า ไม่ใช่ความผิดของเจ้า!!!
                           ...เพื่อตัวเจ้าเอง...
                              แม่เฒ่า


“เจ้าจะให้ข้าขุดหาอะไรกันแน่! นี่มันเกือบเมตรแล้วนะ ข้ายังไม่เห็นว่ามันมีอะไรเลย” เด็กหนุ่มบ่นเป็นหมีกินผึ้ง
“นี่ถ้าไม่เห็นว่ายังไม่หายดีล่ะก็ข้าไม่มาช่วยหรอก พูดได้ก็ไม่ยอมพูดปล่อยให้ข้าพูดอยู่คนเดียว พูดออกมาซะบ้างก็ได้ จะได้ไม่มีใครเขาหาว่าเจ้าเป็นใบ้”
...ก็นายไงที่ชอบหาว่าเราเป็นใบ้ แล้วใครใช้ให้มากันเล่า ขนาดแอบออกมาตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ก็ยังแอบตามมาจนมาถึงนี่ พอเราตั้งท่าจะขุดก็รีบมาห้ามแล้วก็อาสาจะขุดให้เอง แล้วยังจะมาทำเป็นบ่น...
เทย์ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ก่อนจะนึกถึงเรื่องประหลาดเมื่อคืนที่ทำเอาร้องแทบโรงหมอแตก...
...ผะ...ผม ทำไมถึงเป็นแบบนี้!!!...
ก่อนจะคว้ามีดขึ้นมาจะตัดให้มันสั้นลง แต่ไอ้ซีไนท์ที่เพิ่งจะกลับมาเกิดเห็นเข้านึกว่าจะฆ่าตัวตาย...เลยได้แย่งมีดกันยกใหญ่ ดีที่หมอนายย์มาห้ามทัพ
...ก็ใครมันจะไปรู้ว่าแค่เพียงข้ามคืนผมของตัวเองจะยาวออกมาจนถึงกลางหลัง และที่แย่ไปกว่านั้น...จากผมสีดำเหมือนถ่านหุงต้มจะกลายเป็นสีฟ้าแถมแฝงประกายสีทองอย่างกับทะเลต้องแสงอาทิตย์อย่างนี้...
...สุดท้าย หมอนายย์ก็ต้องอธิบายให้ฟังว่ามันเป็นผลจากการแปรผันของพลังโนนเวลในร่างกายที่เกิดปะทุขึ้นมาอย่างกระทันหัน ที่สำคัญแม้อยากจะตัดขนาดไหน...ผมที่ยาวขึ้นจากเหตุผลนี้จะตัดไม่ขาด...
...ส่วนเหตุผลที่ผมเปลี่ยนสีไป ซีไนท์ได้ตั้งข้อสังเกตว่าเทย์คงจะมีญาติฝ่ายไหนเป็นชาวใต้แน่ๆ เพราะคนที่นั่นจะมีผมสีนี้ทั้งนั้น และข้อสังเกตนี้ก็ยังทำให้หญิงสาวสงสัยอยู่ไม่น้อย...
...ไม่ใช่คนที่นี่ แต่มีญาติเป็นชาวใต้...
สุดท้ายเธอก็ได้แต่รวบผมไว้อย่างลวกๆ ผมยาวๆ แบบนี้น่ารำคาญชะมัด
“พูดได้แต่ไม่ค่อยจะพูด ชอบทำตัวเป็นคนใบ้” เสียงของซีไนท์ดังขึ้นแทรกความคิดของหญิงสาว
...ไม่ได้ดูตัวเองเลยว่าอย่างกับโดนผีเจาะปาก มันถึงได้พูดอย่างกับไม่ได้มีแค่ปากเดียว...
แกร๊ก...แกร๊ก...
“ข้าว่าข้าเจออะไรบางอย่างแล้วหล่ะ!” ซีไนท์พูดอย่างตื่นเต้นก่อนจะเร่งขุด ในที่สุดหีบเหล็กขนาดกว้างครึ่งฟุตยาวหนึ่งฟุตสูงครึ่งฟุตก็ถูกยกขึ้นมาอยู่บนพื้นด้านบน
บนฝาหีบเป็นรูปนกชนิดหนึ่ง ตัวของมันสีแดง แผงคอ จะงอยปากยาวดูแหลมคม และขาทั้งคู่ของมันกลับเป็นสีทองอร่าม หางของมันยาวราวกับหางของนกยูง ตรงปลายหางมีสีฟ้าแซมเช่นเดียวกับปลายปีก แต่ที่สะดุดตาเทย์มากที่สุด...ก็คือ ดวงตาสีน้ำเงินเข้ม...
“ทำไมมันถึงได้ดูเก่าแก่ขนาดนี้ล่ะเนี่ย! แต่ไม่ยักกะใส่กุญแจ...หวังว่ามันคงจะยังเปิดได้นะ” ว่าแล้วชายหนุ่มจึงทำท่าว่าจะเปิดแต่กลับเปิดไม่ออก
“กะแล้วเชียว สงสัยต้องใช้ตัวช่วย!” ว่าแล้วชายหนุ่มก็หยิบมีดสั้นเล่มเล็กขึ้นมา
“นั่นเจ้าจะทำอะไร!” เทย์รีบคว้าหีบจากมือชายหนุ่มทันที
“ก็ข้าจะงัดฝาออกมา...เจ้าเปิดไม่ออกหรอก ขนาดข้ายังเปิดไม่ออกเลย” ซีไนตอบแล้วจึงลุกขึ้นโดยไม่ได้สังเกตเลยว่า เมื่อหีบสัมผัสมือของเทย์ ได้มีแสงสีแดงลุกขึ้นที่ดวงตาของนกบนฝาหีบจนดูราวกับว่า...นกตัวนั้นมีชีวิตและลืมตาขึ้นแล้วรูปนกจึงค่อยๆ เลือนหายไปราวกับไม่เคยปรากฏมาก่อน...
“อ่ะ...นี่ไง เปิดออกแล้ว แค่ขยับๆ หน่อย” เสียงที่ดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มต้องหันมาดู
“เป็นไปไม่ได้!”
...ก็ข้าทั้งขยับ เขย่า ดึง (แอบ)งัด (แอบ)แงะ เท่าไหร่ก็ไม่ออก หรือหีบใบนี้จะมีปัญหา...
เทย์หยิบหนังสือสองสามเล่มที่อยู่ในนั้นออกมาแล้วจึงเห็นโลหะทรงกลมแบนอยู่ในนั้น เหรียญแรกเป็นรูปเดียวกับนกบนฝาหีบซึ่งเป็นลายเดียวกันทั้งสองด้าน เช่นเดียวกันกับเหรียญที่สองดูเหมือนจะเป็นรูปมังกรคาบหยดน้ำทั้งสองด้านเช่นกัน เทย์จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแม่เฒ่าถึงได้บอกว่ามันไม่มีทางที่จะเหมือนกัน...


หมอนายย์บอกว่าถ้าต้องการพบราชองครักษ์ก็ต้องเข้าไปในวังหลวง และการเข้าไปในวังหลวงในตอนนี้ทำได้วิธีเดียวก็คือ...เป็นราชองครักษ์ที่ประกาศคัดเลือกอยู่ ซึ่งมีคนที่ต้องการจะเป็นอยู่แถวๆ นี้ เพียงแต่...
“เจ้าก็ไปสมัครกับข้าสิ เรื่องอะไรจะมาฝากให้ข้าทำให้”
แล้วนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เทย์ต้องออกเดินทางในวันนี้ พร้อมกับซีไนท์และ...มิวเชคคนดั้งหัก ที่อยู่ๆ ก็นึกอยากจะไปเที่ยวเมืองหลวงขึ้นมา
แต่นั่นก็ดูจะไม่เป็นปัญหาเท่าเพื่อนร่วมทางอีกเกือบยี่สิบคนที่ตามหมอนั่นมาด้วย โดยมีเหตุผลว่า…
“พวกพี่เขาจะไปสมัครเป็นทหารเลยจะไปด้วย” คนดั้งหักตอบยิ้มๆ แบบที่น่าจะหาไม้หน้าสามหรือคมแฝกมาฟาดสักโป๊กสองโป๊ก
“งั้นก็ตามใจ” ซีไนท์ยอมรับเหตุผลทันทีเช่นกัน
...เจ้าพวกนี้มันไม่คิดกันเลยหรือไงว่าคนในเมืองเขาจะรู้สึกยังไง อยู่ดีๆ ชายหนุ่มกลุ่มใหญ่พร้อมอาวุธครบมือเดินเข้าไปในเมืองพร้อมๆ กัน...
...มีหวังคิดว่าโจรมาปล้นเมือง หรือไม่ก็คิดว่ามีข้าศึกมาบุกเสียก็ไม่รู้..
“เจ้าเป็นไรไปเทย์ ดูทำหน้าเข้าอย่างกับไม่ได้อึมาสามวัน” คนปากดีก็ยังคงเป็นคนปากดีวันยังค่ำ
“ไหน!ไหน! ข้าอยากเห็น คนที่ไม่ได้อึมาสามวันนี่หน้าตาจะเป็นยังไง” มิวเชครีบรับมุขวิ่งวนรอบๆ ตัวเธอมองซ้ายมองขวาอย่างสำรวจ
“เจ้าไม่อยากให้ดั้งเจ้าหายหรือไง...มิวเชค” เทย์ถามกลับเสียงต่ำ กำปั้นถูกยกขึ้นมาตรงหน้ามิวเชค ทำเอาคนดั้งหักคอหด
“ก็เจ้าเป็นอะไรล่ะ ดูเจ้าทำหน้าเข้า... ตาก็ดูลอยๆ ชอบกล คิ้วก็แทบจะชนกัน ปากงี้เม้มจนจะเป็นเส้นตรงอยู่แล้ว” ซีไนท์ว่าพรางทำหน้าตาประกอบชวนทะเล้น
“ถ้าเจ้ายังกังวนเรื่องที่พวกเราเดินทางกันมาเยอะขนาดนี้ล่ะก็ หยุดกังวลได้เลย พื้นที่แถบนี้โจรมันชุกชุม พาคนไปเยอะๆ แหละดีแล้ว อีกอย่าง...บ้านข้ามันดูเหมือนโรงฝึกฝนการต่อสู้ก็จริง แต่ตามกฎหมายแล้วบ้านข้าเป็นกองกำลังคุ้มกันที่ถูกต้องตามกฎหมายนะ เพราะฉะนั้นการเดินทางของพวกเราก็แค่กลุ่มการค้ากลุ่มหนึ่งเท่านั้น” มิวเชคอธิบาย
“เนียนมากเลยนะ สงสัยพวกเราจะค้าอัญมณีสำคัญนะ คนคุ้มกันเกือบยี่สิบคนอย่างกับคณะทูต” เทย์ประชด
“แล้วใครเป็นพ่อค้าคุมกระบวนล่ะ ข้าจะได้ส่งขึ้นไปนั่งสบายๆ บนเกวียน”
ชายหนุ่มทั้งสองหันมามองหน้ากันอย่างครุ่นคิดกับคำถามของหญิงสาว แล้วดวงตาทั้งสองคู่ก็กันมามองเทย์เป็นตาเดียว

   
   เทย์ที่นั่งอยู่บนเกวียนถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่หนึ่งร้อยสิบเอ็ดในขณะที่คณะเดินทางได้เดินทางออกมาจากหมู่บ้านได้สามวัน และตอนนี้ก็เป็นเวลาที่จวนเจียนจะค่ำเต็มที ในขณะที่มิวเชคเริ่มให้คนอื่นๆ ค้นหาจุดที่จะหยุดพักในคืนนี้
   “นายท่านขอรับ! ข้างหน้ามีลำธารเล็กๆ พวกเราจะไปหยุดพักแรมกันที่ตรงนั้นนะขอรับ” มิวเชคพูดออกมาเร็วปรือ ก่อนจะรีบกระโดดให้ห่างจากเกวียนให้มากที่สุด เพราะสิ่งที่ตามชายหนุ่มออกมาก็คือ...กิ่งไม้กิ่งไม่เล็กนักที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสมุนไพรหายากชนิดหนึ่ง ที่เขาบอกว่ามันคือสินค้าที่จะนำไปขายในเมือง
   ลำธารที่ว่าอยู่ไม่ไกลจริงๆ เพราะหลังจากชายหนุ่มมาบอกไม่ถึงสิบนาทีขบวนสินค้ากำมะลอก็หยุดพัก บางส่วนเริ่มก่อไฟ หาอาหารสด จัดเวรยาม และบางส่วนก็ลงเล่นน้ำชำระล้างร่างกายที่ไม่ได้ถูกน้ำมาสามวันเต็ม
   แต่...ถึงแม้ว่าเทย์จะอยากล้างคราบเหงื่อไคลแค่ไหนก็ตาม จุดที่หนุ่มๆ อาบน้ำกันอยู่ก็ถือว่าเป็นจุดต้องห้าม เด็กสาวจึงสาวเท้าไปทางต้นน้ำจนพบสถานที่ลับสายตาพอสมควรก่อนจะนั่งลงบนโขดหินใกล้ๆ แล้ววักน้ำขึ้นมาล้างหน้าจนรู้สึกสดชื่นขึ้น เท้าเปลือยเปล่าจึงค่อยๆ สัมผัสกับผิวน้ำเย็นที่กำลังไหลเอื่อยๆ อยู่ด้านล่าง เทย์ค่อยๆ ลงสู่ผิวน้ำอย่างระมัดระวัง ไม่ใช่เพราะกลัวเปียก...แต่เป็นเพราะเหตุผลที่น่าขันที่สุด เธอว่ายน้ำไม่เป็น
   ก็ตั้งแต่เล็กจนโต...ยังไม่เคยไปฝึกที่ไหนเลยสักครั้ง ยิ่งตอนอยู่สถานสงเคราะห์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ในนั้นไม่มีสระว่ายน้ำให้เหล่าเด็กกำพร้าไปหัดว่ายหรอก และตอนไปอยู่กับนิโคลยิ่งแล้วใหญ่...มีแต่เรียนกับเรียน(และอ่านนิยาย)
   ...เคร้ง...เคร้ง...
...ตูม...พรึบ...
เสียงที่ได้ยินอยู่ไม่ไกลนักทำให้เทย์ที่เพิ่งพันสายรัดข้อมือเสร็จผวาลุกขึ้นหยิบดาบสั้นแทบไม่ทัน
...สวบ...สวบ...
...สวบ...สวบ...สวบ...สวบ...สวบ
เสียงย่ำเท้าดังใกล้เข้ามา หญิงสาวรีบกระโดดไปยังพุ่มไม้ที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดแล้วซ่อนตัวอยู่ตรงนั้น หัวใจของเด็กสาวเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะด้วยความรู้สึกตื่นเต้นปนตกใจ...
...ไม่กี่อึดใจ ภาพที่เข้ามาสู่สายตาก็เหมือนกับได้ดูภาพยนตร์สามมิติที่นอกจากจะได้เห็น ได้ยิน แถมยังได้กลิ่นคาวเลือดที่ลอยคละคลุ้งมาตามสายลมที่ทำเอาเด็กสาวแทบอาเจียน
ร่างของชายกลางคนที่โชกไปด้วยเลือดถูกประคองไว้อย่างทุลักทุเลจากชายหนุ่มที่หน้าตาละม้ายคล้ายกันในขณะที่มือของคนทั้งสองยังคงถือดาบไว้แน่น ยังมีชายอีกสองคนที่คอยคุ้มกันอยู่ข้างหลัง ทั้งหมดกำลังถอยล่นมาจุดที่เทย์ยืนอยู่เมื่อครู่ หญิงสาวยังคงมองไม่เห็นว่าทั้งสี่หนีอะไร...หรือใครมา
“ทนอีกหน่อยนะท่านพ่อ” ชายหนุ่มพูดกับชายคนที่ตนประคอง
“ทิ้งข้าไว้ที่นี่ แล้วหนีไปซะ อย่าให้ข้าต้องเป็นตัวถ่วงให้พวกเจ้าต้องมาตายกันที่นี่” ชายกลางคนกล่าวอย่างถอดใจ
“ไม่! ต่อให้ข้าต้องตาย ข้าก็จะไม่ทิ้งท่าน”
...เฟี้ยว...ว.....ฉึก...
เสียงโลหะบางลอยผ่านอากาศปักลงที่ชายคนหนึ่งทางขวามือล้มลง ก่อนที่อีกอันจะปักลงที่ชายอีกคนทางขวามือ ทำเอาเด็กสาวอ้าปากค้างด้วยความตกใจและคงร้องออกไปแล้วถ้าไม่มีมือหนามาปิดไว้ หลังจากนั้นมือสังหารในชุดดำมิดชิดสี่คนจึงปรากฏตัวขึ้น
“มือของเจ้ามันเค็มจริงๆ เลยซีไนท์” หญิงสาวกระซิบเบาๆ
“จตุรธาตุ พวกเราไม่เคยมีความแค้นเคืองกัน ใครว่าจ้างเจ้ามาทำร้ายพวกข้า” ชายกลางคนถามขึ้น
“น่าเสียดายจริงๆ ที่หัวหน้าราชองครักษ์ฝีมือดีอย่างท่านเอ็นด์ดราย ออสม่า ต้องมาจบชีวิตในป่าเขาเช่นนี้” ชายผู้ที่อยู่นำหน้ากล่าวชื่อที่เทย์ได้ยินทำเอาหญิงสาวหูพึ่ง
“นี่ท่านคงคิดจะไปหาแม่เฒ่าที่ชุมเบต้าใช่ไหม...พวกข้าก็แค่หวังดีจะส่งให้ท่านได้ไปพบกับนางอย่างไรล่ะ...555+” หนึ่งในสี่ผู้ที่ถือมีดเล็กที่เทย์จำได้ติดตากำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“เหลือแค่นี้เจ้าสามคนจัดการไปก็แล้วกัน ปัฐธัน วารีเซ่ วาโยน่า ข้าจะรีบกลับไปรายงานท่านผู้นั้น” ชายในชุดดำคนนั้นกล่าวแล้วกระโดดหายออกไปในความมืด
“พวกเจ้าหมายความว่าไง หรือว่า...” ชายกลางคนที่หน้าซีดขาวอยู่แล้วเพราะเสียเลือดมากนั้นกลับซีดขึ้นไปอีก
“ท่านเข้าใจถูกแล้ว ทีนี้ก็เตรียมใจไปพบนางในนรกได้แล้ว!” ชายหนุ่มที่ใช้ดาบขนาดใหญ่ยกดาบขึ้นฟาดไปยังจุดหมาย
...แกร๊ก...
ชายหนุ่มที่ประคองผู้เป็นบิดารีบตั้งรับอย่างทันท่วงที
“ยังมีแรงอยู่อีกรึ เจ้าทำให้ข้าแปลกใจ”
“ยาพิษกระจอกๆ ของพวกเจ้าทำอะไรข้าไม่ได้หรอก” ชายหนุ่มตอบกับชายที่ตนประฝีมือด้วยที่ดูจะมีฝีมือไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน จนทำให้เขาค่อยๆ ถอยห่างจากผู้เป็นบิดาอย่างไม่รู้ตัว
...เฟี้ยว..ว...
...แกรก...ตุบ...ฉึก
มีดสั้นปักลงสู่พื้นดินพลาดเป้าหมายไปอย่างน่าเสียดายเพียงเพราะ...ก้อนหินก้อนเดียว
“นั่นใคร!” เจ้าของมีดถามเสียงเครียดด้วยไม่นึกว่าจะมีใครเข้ามามีเอี่ยว
เด็กสาวก็ลุกขึ้นมาทันทีอย่างที่หนุ่มข้างๆ รั้งไว้ไม่ทัน พร้อมทั้งปาวัตถุบางอย่างกลับไป
“เอาของเจ้าคืนไป!”
“หึ...เจ้าเด็กนี่แส่หาเรื่องไปลงนรกเสียแล้ว” ชายชุดดำนามว่าวารีเซ่คำราม
“คิดหรือว่าเจ้าคนเดียวจะสู้ข้าได้...หึ...หึ” มันหัวเราะในลำคอ
“แล้วถ้ามีพวกข้าด้วยล่ะ” มิวเชค ซีไนท์ และคนอื่นๆ อีกสิบกว่าคนก้าวออกมาพร้อมๆ กันจนมันชะงัก
“มิวเชคเจ้าช่วยพาท่านเอ็นด์ดรายออกไปก่อน และห้ามเลือดให้ด้วย” เทย์สั่ง
“แต่...”
“นี่เป็นคำสั่ง!”
มิวเชคก้มหัวรับแล้วเรียกให้คนที่อยู่ใกล้ที่สุดมาช่วยกันพาร่างของชายกลางคนที่แทบจะสิ้นสติออกไป เทย์หันมาประจันหน้ากับชายชุดดำอีกครั้ง ในขณะที่ชายชุดดำอีกคนพยายามขยับตัวจะตามมิวเชคไปแต่ซีไนท์กลับขวางไว้ได้ทัน ในขณะที่คนอื่นๆ ยังคงคอยดูเชิงในวงนอก แต่ค่อยๆ ตีวงแคบเข้ามา
“เจ้าสินะที่เป็นคนสังหารแม่เฒ่า!” เทย์ตะคอกถามด้วยความโกรธอย่างที่ไม่เคยมาก่อน สายตาเพ่งมองอยู่ที่มีดสั้นอันเป็นอาวุธประจำกายของชายชุดดำ
“เทย์! ระวังตัวหน่อยนะ ข้าได้ยินมาว่าพวกจตุรธาตุเป็นพวกนิยมใช้พิษ” ซีไนท์ตะโกนบอกก่อนที่จะหันกลับไปรับมือกับชายที่ถือสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นอาวุธ มันคือ...พัด... แต่เทย์ก็ไม่มีเวลาที่จะสนใจมากนักเพราะทางเธอก็กำลังตึงมืออยู่เหมือนกัน
...เฟี้ยว...ว...ฉึก
เสียงใบมีดพุ่งผ่านหน้าหญิงสาวไปอย่างฉิวเฉียด ก่อนจะปักลงบนต้นไม้ที่อยู่ใกล้ ฉับพลันใบมีดปักลงไปถึงครึ่งด้ามก็สลายไปทันที ในขณะที่ต้นไม้ที่โชคร้ายเฉาตายทันตาเห็น พวกมันเริ่มใช้พิษแล้ว...
สนุกดีคับ สู้ต่อไปนะท่าน g#021 g#021
10. ห้ามโพสรูปภาพ ลายเซ็น เกิดขนาด 550x250
http://forum.asura.in.th/index.php?topic=19221.0
                                                         กลัวเห็นไม่ชัด:)


แมว...จรจัด

  • Jr. Member
  • **
    • กระทู้: 292
  • ~๐ยิ้ม๐ลับ๐ซ่อน๐ลึก๐~
ตอนที่ 5 อคีนียาและเจ้าหญิงผู้สาบสูญ

   “อะไรกัน! ฆ่าพวกมันไม่ได้ยังไม่พอ ยังถูกพวกมันจัดการอีก”
เสียงเกรี้ยวกราดจากชายชุดดำที่ยืนอยู่เบื้องหน้าทำให้จตุรธาตุที่เหลือเพียงสองรีบคุกเข่าทันที แก้วสีมรกตที่เคยบรรจุน้ำสีอัมพันถูกคว้างทิ้งอย่างไม่ไยดีตามอารมณ์ของผู้เป็นเจ้าของ
“ใคร...ใครที่มาช่วยพวกมัน!!”
“ระ...เรียนนายท่าน พวกมันมากันราว...ยี่สิบคนเห็นจะได้ แต่ละคนล้วนมีฝีมือโดยเฉพาะไอ้คนที่เกือบจะเผาข้าทั้งเป็นนั่น...”วาโยเซ่ ซึ่งมีสภาพราวกับไปลุยกองเพลิง เสื้อผ้าขาดราวกับผ้าขี้ริ้ว ตามร่างกายมีแต่รอยฟกช้ำพุพอง บางแผลยังปรากฏเลือดไหลเยิ้มอย่างน่ากลัว รีบตอบอย่างลนลาน
“ข้าคิดว่ามันคงมาจากชุมเบต้าเพราะข้าได้ยินมันถามถึงแม่เฒ่าที่พวกข้าไปจัดการในครั้งก่อน”
“อาคิวล่า เจ้าจงไปสืบมาว่าพวกมันเป็นใคร!” ผู้เป็นนายสั่งเสียงเหี้ยมกับคนที่นั่งสงบนิ่งอยู่

   
“...นายหญิง...นายหญิง...” เทย์ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ...
...หมอกที่ลงหนาจัด ทำให้รอบๆ ตัวดูพร่ามัวอย่างประหลาด...
...นี่มันความฝันหรือความจริงกันแน่...
...หรือว่า...เราจะตายแล้วจริงๆ...
เด็กสาวจำได้เพียงว่า ตอนนั้นเธอกำลังเพรี่ยงพล้ำ และซีไนท์เข้ามารับใบมีดแทนเธอ เลือดสีดำที่ไหลออกมาจากบาดแผลของเขาไหลออกมาเต็มฝ่ามือของเธอ...จากนั้น...เธอก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย
“นายหญิง...นายหญิง...”
เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง...
...ร่างสูงระหงในชุดสีแดงเพลิง ชุดกระโปรงผ้าบางสั้นกว่าเข่าเล็กน้อยแต่ชายด้านหลังกลับยาวจนเกือบลากพื้น ตัวเสื้อทำจากผ้าชนิดเดียวกัน แขนกุดประดับด้วยขนนกสีฟ้าที่บริเวณไหล่ สวมถุงมือและรองเท้าสีทอง อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเทย์ ผิวขาวละเอียด ผมของเธอสีทอง ดวงตาดุจอัญมณีสีน้ำเงินเข้ม แต่ใบหน้ากลับดูเศร้าหมอง...
“นายหญิง...” เธอคนนั้นคุกเข่าลงตรงหน้าเทย์พร้อมกับร้องเรียก...
“เธอ...”
“ข้าคือ...วิหกอัคคี..หรือที่พวกมนุษย์เรียกข้าว่า...ฟิกค์” หญิงสาวหน้าตาหน้ารักตรงหน้าบอก
“ฟิกค์... วิ...วิหก นั่นมัน...นกไม่ใช่หรอ แล้วทำไม?”
“เพราะพลังของท่านได้ปลดปล่อยข้าออกมา”
“พลังของฉัน?” พลังอะไรกัน?
“แล้วฉันไปเป็นนายหญิงของเธอได้ยังไง?”
“เพราะพลังของท่านช่วยปลดปล่อยข้า ท่านจึงเป็นนายหญิงของข้า”
คำตอบที่ยิ่งฟังดูงุนงง ยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจ คนธรรมดาๆ อย่างเธอจะมีพลังอะไรได้
 “เธออย่าเรียกฉันอย่างนั้นได้ไหม...มันรู้สึกแปลกๆ เธอเรียกฉันว่าเทย์ก็ได้ อายุเราคงไม่ต่างกันมากนัก ว่าแต่เธอชื่อว่าอะไร...” วิหกอัคคียิ้มกว้าง
“อายุข้ายาวนานจนท่านคาดไม่ถึงเชียวหล่ะ... ท่านโปรดเรียกนามข้า...อนีคียา แล้วข้าจะไปหาท่าน...” ร่างนั้นบอกก่อนจะสลายไป
“อคีนียา!”


“อคีนียา!”
...นี่เราฝันไปหรอเนี่ย...
เทย์ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
...ที่นี่ที่ไหน...
คำถามแรกเกิดขึ้นทันทีในใจเมื่อสิ่งแรกที่เห็นคือภาพของเพดานห้องสีครีมสะอาดดูสบายตา ไม่ใช่สีเขียวของใบไม้นานาในป่ากว้างอย่างที่เคยเป็น เทย์ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งอย่างงุนงง
เตียงไม้สี่เสาขนาดที่นอนได้สองคนสบายๆ กับที่นอนสีขาวสะอาดหนานุ่มชวนนอน...อ่านนิยายเล่มโปรด...ที่รองรับร่างบางอยู่ขณะนี้ก็ดูล้ำค่าด้วยงานฝีมือช่างไม้ระดับปรมาจารย์อย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อลายฉลุแต่ละลายล้วนเป็นงานละเอียดอ่อน...คงราคาแพงน่าดู
ห้องกว้างที่มีผนังสีเดียวกับเพดานก็ดูตกแต่งอย่างเรียบง่าย แต่ก็ดูดีในยามใกล้ฟ้าสางด้วยโคมไฟเวทย์สีส้มที่ช่วยส่งให้รูปปั้นเทพธิดาที่ยืนเฝ้าหน้าประตูดูน่าหลงใหลไม่น้อย
...ห้องใครกัน...
...เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง...
“เจ้าฟื้นแล้วรึ” เสียงใสน่าฟังดังขึ้นหน้าประตู ทำให้เด็กสาวที่กำลังครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ หันมามองเด็กสาวที่น่าจะมีอายุมากกว่าเธอสักสองสามปีที่ส่งรอยยิ้มเป็นมิตรมาให้
เทย์อยากจะส่งคำถามหลายคำถามออกไป แต่ลำคอที่แห้งผากนั้นทำให้ไม่สามารถทำได้อย่างใจคิด แก้วใสใส่น้ำสีทับทิมดูน่าลิ้มรสถูกยื่นมาตรงหน้า
“ดื่มนี่สิ เจ้าจะรู้สึกดีขึ้น” เทย์มองอย่างลังเลเพียงชั่วครู่ ก่อนจะรับมันขึ้นมาจิบ
น้ำสีแดงรสหวานอมเปรี้ยวถูกตัดด้วยรสเค็มเล็กน้อยทำให้รู้สึกชุ่มคออย่างบอกไม่ถูก จากเพียงจิบจึงกลายเป็นยกขึ้นดื่มอย่างกระหายจนหมดแก้ว เด็กสาวแปลกหน้ายิ้มกว้างขึ้นไปอีกก่อนจะรินน้ำสีทับทิมเติมให้อีกแก้ว พร้อมกับถาดทองที่บรรจุอาหารสองสามอย่างมาตรงหน้าเทย์
“ที่นี่...” เทย์เริ่มตั้งคำถามแต่กลับถูกขัดขึ้นจากเสียงคุ้นหูที่หน้าประตู ที่ทำให้รู้สึกฉุนกึก
“เฮ้! เจ้าขี้โรคฟื้นแล้ว”
“ดูทำหน้าเข้าสิ...ทำอย่างกับเจอผี  555” ซีไนท์หัวเราะรวนกับสีหน้าของเด็กหนุ่มเทียม ในขณะที่หนุ่มอีกคนส่งเพียงรอยยิ้มแห้งๆ เมื่อเห็นว่ามีใครอยู่ในห้องด้วย
“เออ...ซีไนท์” มิวเชคสะกิดเพื่อนเบาๆ
“อะไรเล่า! เออ...” ซีไนท์หันมาตวาด มือที่กำลังจะส่งไปยีหัวคนป่วยชะงักลงทันทีที่เห็นว่าใครยืนอยู่
สาวผมสีดำตาสีเหลืองทองแปลกหน้ายังคงส่งรอยยิ้มมาให้ แต่น้ำเสียงที่ส่งมาให้ชายหนุ่มทั้งสองกลับทำให้สองหนุ่มกลืนน้ำลายไม่ลง
“อย่าทำอะไรที่มันไม่สมควร ข้าจะไปบอกท่านพ่อ เจ้าก็ควรไปตามท่านเอ็นด์ดรายมาที่นี่ คงรู้หน้าที่นะ”
สองหนุ่มยังคงหน้าซีดทั้งที่ร่างบางหายลับออกไปจากประตูหน้าห้องแล้ว
“พวกเจ้าเป็นอะไร? นั่นใคร? มันเกิดอะไรขึ้น? ที่นี่ที่ไหน? ข้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? แล้วท่านเอ็นด์ดรายเป็นไงบ้าง?” เทย์ถามเป็นชุดอย่างลืมตัว เสียงจึงหวานใสอย่างที่ควรจะเป็นมากกว่าการแกล้งทำเสียงทุ้มนุ่มอย่างเคย เจ้าตัวที่เพิ่งนึกออกรีบปิดปากตัวเองแทบไม่ทัน
“พวกเรารู้แล้วว่าเจ้าเป็นผู้หญิง ไม่ต้องปิดพวกเราหรอก ข้าจะไปตามท่านเอ็นด์ดราย” มิวเชคออกไปอีกคนเหลือเพียงชายหนึ่งและหญิงหนึ่ง
“ข้า...ขอ..”
“ช่างมันเถอะ” ชายหนุ่มพูดออกมาก่อนที่เทย์จะพูดจบ จนคนฟังแสดงสีหน้าสงสัย
“...หรือว่า...”
“อืม...ข้ารู้แล้ว” ซีไนท์ตอบเสียงเบา หน้าเข้มๆ เริ่มขึ้นสี
“ตั้งแต่เมื่อไหร่...”
“ตอนที่ข้า...อุ้มเจ้ากลับบ้านข้า แล้ว...เออ” ดูเหมือนยิ่งอธิบายก็จะยิ่งทำให้ทั้งคู่มีสีหน้าขึ้นสีระเรื่อ
“ว่าแต่ผู้หญิงคนเมื่อกี้เป็นใคร?” เทย์ตัดบท แต่คำตอบทำเอาเทย์อ้าปากค้าง
“เจ้าหญิงฟรีด้า เดอะปริ้นเซส อ๊อฟ แฟร์แลนเทียร์”
“จะ...เจ้าหญิงหรอ”
ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก
ยังไม่ทันที่คนในห้องจะกล่าวอะไร บรรดาคนข้างนอกก็พากันกรูเข้ามาข้างในอย่างรวดเร็ว นำโดยชายหญิงคู่หนึ่ง
หญิงแปลกหน้าก้าวเข้ามาข้างใน ก่อนจะนั่งลงข้างเตียงแล้วรั้งร่างบางเข้าไปกอด
ถึงแม้จะตกใจ แต่ความรู้สึกที่เธอสัมผัสได้ คือ...
...อบอุ่น...
ร่างของหญิงคนนั้นสั่นจนเทย์รู้สึกได้ เทย์หันไปมองคนที่ตามทั้งคู่มาที่ต่างก็ทยอยกันออกไปจากห้องอย่างเงียบๆ รวมทั้งท่านเอ็นด์ดราย คนที่หญิงสาวมีธุระอยากจะพูดคุยด้วยมากที่สุด เหลือเพียงชายกลางคนผมสีทองดวงตาสีเหลืองทองที่แลดูมีสง่าราศียิ่งกว่าใครยืนมองเธอกับหญิงกลางคนไม่ห่าง
เด็กสาวผละจากอ้อมกอดอบอุ่นอย่างเสียดาย แต่เธอมีหลายเรื่องที่อยากจะรู้เกินกว่าจะอยู่อย่างนี้ได้ ดวงตาคู่โตของหญิงสาวฉายแววสงสัยอย่างเห็นได้ชัด
“เออ...ขอโทษจ๊ะ” เสียงหวานๆ ของหญิงกลางคนที่ยังดูยังไงก็คงไม่เกินสามสิบต้นๆ กล่าวขึ้น
หญิงสาวงดงามผู้มีเส้นผมยาวสลวยสีดำสนิทกับดวงตาสีสนิมส่งรอยยิ้มดูอบอุ่นและเอ็นดูมาให้ มือขวาก็ปาดน้ำตา
“เจ้าคงอยากรู้ว่าพวกเราเป็นใคร” น้ำเสียงมีอำนาจดังขึ้น ชายกลางคนส่งสายตาเอ็นดูมายังเธอ ริมฝีปากของเขาเผยอขึ้นเล็กน้อย
“ถ้าเป็นคนอื่นคงรู้ไปแล้วว่าเราเป็นใคร” คิ้วเขาขมวดขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะคลายลง
“ข้าคือผู้แทนพระองค์ของราชาองค์ก่อน เจ้าชายอาเรียส  เดอะปริ้นซ์ อ๊อฟ แฟร์แลนเทียร์ และนี่คือชายาของข้าเจ้าหญิงเฟรนด้า เดอะปริ้นเซส อ๊อฟ แฟร์แลนเทียร์ และข้าเป็นอาของเจ้า...เทเรเซีย...”
แค่ได้ยินคำว่า “เจ้าชาย” “เจ้าหญิง” เทย์ก็แทบจะทรุดลงไปกับพื้น...แต่ทำไม่ได้เพราะตอนนี้ก็นั่งอยู่บนเตียง... แล้วนี่ บรรดาเจ้าหญิงเจ้าชายที่ว่ากลับมาบอกว่าเธอเป็นหลานอีก ใครจะไปเชื่อ แต่คำว่า “เทเรเซีย” นี่ ได้ยินมากี่ครั้งแล้วนะ
...เออ...ถ้าเราเป็นหลาน เราก็เป็น...
...แต่เอ๊ะ...
“ข้าออกไปก่อน ต้องไปเตรียมการหาราชองครักษ์วันพรุ่งนี้” ชายกลางคนออกไปข้างนอกปล่อยให้ชายากับเด็กสาวอยู่ด้วยกัน
“ผู้สำเร็จราชการแทนองค์ราชาองค์ก่อนหรือ...เพคะ แฟร์แลนเทียร์ไม่มีราชา...” เทย์ถามอย่างข้องใจด้วยคำราชาศัพท์ที่กระท่อนกระแท่น
“จ๊ะ...แฟร์แลนเทียร์ไม่มีกษัตริย์ ตั้งแต่องค์ราชาองค์ถูกปลงพระชนม์เมื่อสิบห้าปีก่อน”
“แล้ว...พระองค์ไม่มีองค์รัชทายาทหรือเพคะ?”
เฟรนด้ายิ้มแล้วตอบกลับไปว่า...
“องค์ราชาทรงมีพระธิดาอยู่หนึ่งพระองค์ ตอนนั้นเจ้าหญิงทรงมีพระชันษาเพียงอาทิตย์เดียวเท่านั้น ทั้งองค์ราชาและราชินีก็สวรรคตเสียแล้ว”
“ตายจริง...ทำไมเจ้าหญิงทรงน่าสงสารเช่นนี่เพคะ แล้วตอนนี้พระองค์...เป็นอย่างไรบ้างเพคะ” 
เฟรนด้ายิ้มแล้วส่งสายตามาทางหญิงสาว
“เจ้าหญิงทรงหายสาบสูญไปในครั้งนั้น...ไม่มีใครหานางพบอีกเลย...จนกระทั่งเมื่อเดือนก่อนมีจดหมายมาจากหมู่บ้านเล็กๆ ว่าพบบุคคลที่น่าจะเป็นเจ้าหญิง ท่านเอ็นด์ดรายกำลังจะไปตรวจสอบ แต่ก็เกิดเรื่องเสียก่อน...”
“...ทางเราก็เลยรู้แต่เพียงว่า คนที่แจ้งเบาะแสมาถูกฆ่าตายไปเสียแล้ว และท่านเอ็นด์ดรายเองก็บาดเจ็บกลับมาด้วย...”
“แย่จังเลยนะค่ะ ...เอ่อเพคะ”
“มันก็ไม่แย่ซะทีเดียวหรอกจ๊ะ ท่านเอ็นด์ดรายไม่ได้กลับมามือเปล่า เขากลับมาพร้อมกับเจ้าหญิงผู้สาบสูญที่เข้าไปช่วยเหลือเขาระหว่างทาง เขาขอยืนยันอย่างหนักแน่นว่าเป็นเจ้าหญิงจริงพร้อมกับแสดงหลักฐานสำคัญสองชิ้น...”
เทย์ขมวดคิ้ว...เรื่องมันคุ้นๆ นะ
“ซึ่งคือ...แหวนเจ้าเตโชและอัญมณีเจ้าวารีน”
ชื่อคุ้นๆ อีกแระ
“องค์ราชาองค์ก่อนทรงมีพระนามว่าอะไรเพคะ...”
เฟรนด้าแปลกใจกับคำถาม...เธอคิดว่าหญิงสาวจะถามว่าเจ้าหญิงพระองค์นั้นชื่อว่าอะไรแต่กลับเป็นว่า...
“องค์ราชาแอเรียส...”
“ราชินีมีร่า และเจ้าหญิงเทเรเซีย...ใช่ไหมเพคะ” เทย์ต่อด้วยคำถามพร้อมกับน้ำตาที่คลอออกมาจากดวงตาสีทองที่ดูอ่อนไหวคู่นั้น
“ตลกแล้ว...”
“พวกคุณ...แต่งเรื่องอะไรมา...” เทย์เสียงสั่น
“ล้อเล่นใช่ไหม...หนูหรอ...เจ้าหญิงที่หายสาบสูญ”
เฟรนด้าโอบร่างบางมากอดไว้อย่างปลอบประโลม
“หนูเคยฝันถึงครอบครัว...อยากมีครอบครัวเหมือนคนอื่นๆ แต่พอรู้ว่าตนเองก็มี...ครอบครัวเหมือนกับคนอื่นๆ มีพ่อ...มีแม่ แต่ท่านก็ไม่อยู่แล้ว...แล้วที่นี่มันอะไรกัน ล้อเล่นอะไรกันอย่างนี้ นิโคลใช่ไหม...นิโคลอำกันอีกแล้วใช่ไหม?? ออกมานะนิโคล...ไม่เล่นแบบนี้” เทย์พูดปนสะอื้น
เฟรนด้ากอดร่างบางนั้นไว้จนร่างบางนั้นสงบลง จึงวางร่างนั้นลงบนฟูกอย่างแผ่วเบาและห่มผ้า ก่อนจะออกจากห้องไปพบกับบุรุษชุดขาวผมสีทอง
“นางเป็นอย่างไรบ้าง...” อาเรียสมองไปยังประตูที่เฟรนด้าเพิ่งเดินออกมา
“นางคงต้องการเวลาสักพัก...นางยังปรับตัวไม่ทัน” อาเรียสพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ข้าขอให้นางเข้มแข็งเหมือน...พระมารดาของนาง เรื่องที่นางต้องเจอจะต้องหนักหนาสาหัสยิ่งกว่านี้หลายเท่านัก”
“อีกนานเท่าใด...ที่ท่านผู้นั้นจะตื่นขึ้นมา”
“ข้าไม่รู้...แต่คงอีกไม่นานนัก โซ่ตรวนแห่งพันธนาการใกล้จะสิ้นสุดแล้ว ข้าหวังแต่เพียงว่าเราจะเตรียมการทัน”


สิ่งที่เทย์ได้ยินมาเมื่อคืนทำให้เทย์รู้สึกสับสนไม่น้อย ร่างบางนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงกว้าง ห้องนี้ต่างจากห้องที่ตนเองนอนเมื่อคืน เธอคงถูกย้ายที่อีกครั้งโดยที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่องสักนิด
ห้องนอนกว้างดูหรูหราสีขาวสะอาดตา และเตียงสี่เสางดงามมี ระบายห้อยระย้าสีชมพูสลับทองดูหวานแหวว...เทย์บอกได้คำเดียวว่า...สวยแต่ไม่เหมาะกันตัวเองสักนิด
...เราก็มีครอบครัวอยู่ที่นี่ จริงๆ หรอ...
...แถมยังครอบครัวที่ไม่ธรรมดาด้วย...
...แล้วเราจะมัวมาร้องไห้คร่ำครวญเพื่ออะไรล่ะ...
...นี่คือสิ่งที่เราต้องการไม่ใช่หรอ...
...ถึงแม้ว่าจะขาดพ่อกับแม่ก็ตาม...
...แต่เราก็ยังมีท่านอาและครอบครัวคนอื่นๆ ไม่ใช่หรอ...
...อย่างน้อยเราก็ไม่ได้อยู่คนเดียวอีกต่อไปแล้ว...
เมื่อคิดได้ดังนั้น เด็กสาวจึงค่อยๆ ลุกจากเตียงกว้าง ร่างบางเดินไปเปิดประตูห้องน้ำที่อยู่ภายในห้องนั่นเอง ก่อนจะกลับออกมาด้วยความรู้สึกที่สดชื่นขึ้นกว่าเดิม
“กรี๊ด...ด กรี๊ด...ด”
   “เกิดอะไรขึ้นเพค่ะ เจ้าหญิง” แม่บ้านร่างใหญ่ที่ถูกสั่งให้มาดูแลหญิงสาวรีบวิ่งมาเคาะประตูทันที
   “เกิดอะไรขึ้นมาเรีย เจ้าหญิงทรงเป็นอะไร” แฟรนด้าที่ได้ยินเช่นกันเข้ามาถามพร้อมๆ กับราชาอาเรียส แม่บ้านร่างใหญ่ส่ายหน้าว่าไม่รู้เหมือนกัน แฟรนด้าจึงบอกให้นางออกไป ก่อนจะเดินไปยังห้องต้นเสียง
   “กรี๊ด...ด เป็นไปไม่ได้” เสียงของหญิงสาวยังคงดังต่อเนื่อง
ทั้งคู่จึงรีบผลักประตูเข้าไป...
“เกิดอะไรขึ้นเทเรเซีย” แฟรนด้าเข้าไปกอดหญิงสาวที่ยืนอยู่หน้ากระจกที่มีท่าทางตระหนก
“ทะ...ทำไม ตาของหม่อมฉันจึงเป็นสีนี้เพค่ะ”
“ตา? ปกติก็เป็นสีนี้อยู่แล้วนี่ ไม่ใช่หรอ?” แฟรนด้าหันไปถามผู้เป็นพระสวามี
“ผนึกเริ่มคลายลงแล้ว...และนั่นก่อให้เกิดทั้งผลดีและผลเสีย” อาเรียสตอบขรึมๆ
“ผนึกเริ่มคลาย...ทั้งที่ยังควบคุมและใช้ไม่เป็นหรือเพค่ะ มันอันตรายมากเลยนะเพค่ะ” แฟรนด้าตกใจ
 “พวกท่าน...ตรัสเรื่องอะไรกันเพค่ะแล้ว...มันเกี่ยวกับเรื่องผมและตาของหม่อมฉันได้อย่างไร หรือจะเป็นการแปรผันของพลังที่หมอนายย์เคยบอก”
“ใช่ การปะทุพลังหรือการระเบิดพลัง การคลายพลัง การปลดผนึกหรืออะไรก็ตามที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้...”
“เดิมทีเมื่อแรกเกิด เด็กทารกที่มีพลังมากเช่นพวกคนในราชวงศ์จะถูกผู้ให้กำเนิดผนึกพลังไว้ส่วนหนึ่ง เพื่อรอให้เด็กเหล่านนี้สามารถควบคุมพลังของตนเองได้เสียก่อน แล้วผนึกจะค่อยๆ คลายเองโดยอัตโนมัติ แต่สำหรับเจ้า...ข้าคิดว่า เจ้าอาจจะถูกผนึกพลังไว้ทั้งหมดเพื่อพรางการติดตาม ดังนั้น ตลอดระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา จึงไม่มีใครพบตัวเจ้ามาก่อน จนเมื่อผนึกคลายลง จนบัดนี้ มันคลายจนสีผมและสีตาของเจ้าเข้าสู่สภาพเดิม...”
“โดยปกติแท้ที่จริงแล้วสีผมและดวงตาของเราจะไม่เปลี่ยนสี และอีกเหตุผลหนึ่งคือ...เจ้าเป็นสายเลือดของสองราชวงศ์ที่แตกต่างกันเกินไปในด้านของพลังจึงทำให้มันหลบซ่อนอยู่ภายใน...เจ้าเห็นดวงตาและสีผมของข้าหรือไม่”
เทย์พยักหน้าพรางจ้องมองผมและดวงตาสีทองของอาและผมน้ำตาลและดวงตาสีสนิมของอาสะใภ้
“ข้าอยู่ในตระกูลแอนเออร์เนสมีสีประจำตระกูลคือสีทองเพราะมีพลังเตโชและเป็นทายาทผู้พิทักษ์แห่งแสง ส่วนนางมาจากแลคค์รอยมีพลังพื้นฐานเป็นพสุธา”
เทย์ยังคงงงกับคำว่า ผู้พิทักษ์แห่งแสง แต่ก็หันไปมองกระจกบานใหญ่ข้างเตียง...ดวงตาสีทองจากท่านพ่อ...ผมสีฟ้าท้องทะเลของแม่...ท่านทั้งสองยังคงอยู่กับเราตลอดเวลา
แต่...ทำไมผมเรามันยาวขนาดนี้เนี่ย!!!
วันก่อนยังไม่ยาวขนาดนี้เลย
เทย์มองผมของตนเองที่ยาวจนจรดพื้นแล้วถอนหายใจ
...อยากตัดจังเลย...
“จริงสิ...ท่านพี่...เทเรเซียต้องเข้าโรงเรียนแล้วนะท่านพี่”
“อืม...ใช่ คงต้องหาใบสมัครทดสอบมาให้...ไว้ข้าจะจัดการให้”
...เข้าเรียนหรอ...โรงเรียนเวทย์จะเหมือนกับที่เคยเรียนไหมนะ...ถ้าได้เรียนที่...โรงเรียนจอมเวทย์แคนเดิ้ลไชล์ที่เคยได้ยิน...ก็คงดี แต่อย่างเราจะเข้าได้หรอ
“เจ้าต้องไปทดสอบก่อน...แล้วเจ้าก็จะรู้ว่าจะได้เรียนที่โรงเรียนจอมเวทย์แคนเดิ้ลไชล์หรือเปล่า” แฟรนด้าบอกราวกับรู้ใจ
   “แต่ก่อนอื่นข้าว่าข้าควรจะต้องจัดการกับผมของเจ้าก่อนจะดีกว่านะ”
เทย์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ก่อนอื่นเจ้าจะต้องรู้ก่อนว่าเส้นผมของบรรดาเจ้าชาย เจ้าหญิงหรือผู้วิเศษระดับจอมเวทย์นั้นมีค่าขนาดไหน... เส้นผมของเราสามารถนำไปทำส่วนผสมที่สำคัญๆ ของยาพิษหรือยาแก้พิษได้ อีกทั้งยังสามารถนำไปทำคทาได้อีกด้วย นอกจากนี้พวกคำสาปแช่ง ยาเสน่ห์ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องระวังในเรื่องของเส้นผมนี้เช่นกัน ดังนั้น พวกเราจึงไม่นิยมตัดผม อีกอย่างสำหรับคนในราชวงศ์อย่างเจ้าไม่ว่าเจ้าจะพยายามตัดผมออกไปสักเท่าใด ผมของเจ้าก็จะยังยาวเท่าเดิมอยู่เสมอ”
“ถ้าอย่างนั้น...ผมก็ต้องยาวอยู่อย่างนี้หรือเพคะ” เทย์ถามอย่างตกใจ
“มันมีวิธี...ง่ายนิดเดียว”
   เด็กมองหน้าหญิงสาวตรงหน้าอย่างแปลกใจปนสงสัย ในขณะที่อีกฝ่ายยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะสะบัดมือหนึ่งครั้ง กระดาษใบหนึ่งออกมาปรากฏอยู่ตรงหน้าของเด็กสาว
    มือบางรีบหยิบมันขึ้นมาอ่านอย่างรู้งาน
   “จำแลงแปลงกายสูตรเร่งรัด(ความลับเฉพาะราชวงค์แห่งแสง)” เทย์มองหน้าผู้มอบก่อนจะก้มลงอ่าน
            “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว เจ้ารู้ไหม
                 อยู่กับใจ ใจสั่งกาย อย่าฉงน
            อยู่กับตัว อยู่กับใจ อยู่กับตน
            เรื่องของตน ตนรู้ดี อยู่ที่ตัว”
   “ข้าหวังว่าเจ้าจะรู้วิธีนะ” แฟรนด้ายิ้มให้กับเด็กสาวก่อนจะเดินออกจากห้องไป ปล่อยให้เทย์ทบทวนข้อความบนกระดาษข้างหน้าอีกครั้ง
   ริมฝีปากบางแย้มออกทันทีที่นึกได้ พร้อมๆ กับผมสีฟ้าสวยหดสั้นลง
    ...จะสั้นหรือยาวก็แล้วแต่เรา ง่ายดีจริง...


<--:ThE--$eCret--GuilD:--> กิaaึกaัU จาก"ดาวดึงส์"
http://forum.asura.in.th/index.php?topic=13967.msg269553#msg269553


แมว...จรจัด

  • Jr. Member
  • **
    • กระทู้: 292
  • ~๐ยิ้ม๐ลับ๐ซ่อน๐ลึก๐~
ไม่มีใครอ่านเลยแฮะ  g#015
งดก่อนดีก่า  g#002

<--:ThE--$eCret--GuilD:--> กิaaึกaัU จาก"ดาวดึงส์"
http://forum.asura.in.th/index.php?topic=13967.msg269553#msg269553


-ChiVas-

  • เบื่อมากมาย~
  • Jr. Member
  • **
    • กระทู้: 265
  • ชาปกากๆ...
ไม่ได้เข้าบอร์ดมานาน ไม่น่าเชื่อว่าจะมีผู้ลงนิยายแบบมีสาระอยู่

นิยายสนุกมาก ผมเข้ามา ยังอ่านได้ไม่หมด แต่ ขอทราบ ลักษณะนิยายหน่อยครับ

เพราะว่ายังไม่ได้อ่าน อ่านแค่ตอนท้ายๆ เริ่มเข้าใจว่าเป็นการผจญภัยแน่แล้ว

แฝงคติสอนใจด้วย น่าสนับสนุน สู้ต่อไป อย่าท้อถอยนะครับ ผมจะรอ  woon_sunny


ถึงแม้การอยู่คนเดียวจะน่าเศร้า แต่ก็ยังมีสิ่งที่เคียงข้าง แม้มันจะโต้ตอบเราไม่ได้ก็ตามที


  • Full Member
  • ***
    • กระทู้: 709
  • #..กินน้ำเต้าหู อร๊อยอร่อย :D
 g#016 g#016

ยาวเว่อร์ !! จะพยายามอ่านดูครับ +-+
ลายเซ็นใช้คำเหมาะสม

//ต้องเขียนแบบนี้สิจีเอ็ม หึ


แมว...จรจัด

  • Jr. Member
  • **
    • กระทู้: 292
  • ~๐ยิ้ม๐ลับ๐ซ่อน๐ลึก๐~
ไม่ได้เข้าบอร์ดมานาน ไม่น่าเชื่อว่าจะมีผู้ลงนิยายแบบมีสาระอยู่

นิยายสนุกมาก ผมเข้ามา ยังอ่านได้ไม่หมด แต่ ขอทราบ ลักษณะนิยายหน่อยครับ

เพราะว่ายังไม่ได้อ่าน อ่านแค่ตอนท้ายๆ เริ่มเข้าใจว่าเป็นการผจญภัยแน่แล้ว

แฝงคติสอนใจด้วย น่าสนับสนุน สู้ต่อไป อย่าท้อถอยนะครับ ผมจะรอ  woon_sunny

== ก็ตั้งใจจะให้เป็นแฟนตาซีแหละ
แต่เรื่องนี้เขี้ยนทิ้งไว้ 2-3 ปีแระ ยังเขียนไม่จบ
 g#020
จริงๆแล้วกะเคยลงในเว็บเด็กดีไว้ด้วย...แต่ทิ้งมานาน แล้วลองเอามาลงเล่นๆ ที่นี่
ก็ช่วยชี้แนะ ด้วยงับ ==

<--:ThE--$eCret--GuilD:--> กิaaึกaัU จาก"ดาวดึงส์"
http://forum.asura.in.th/index.php?topic=13967.msg269553#msg269553


แมว...จรจัด

  • Jr. Member
  • **
    • กระทู้: 292
  • ~๐ยิ้ม๐ลับ๐ซ่อน๐ลึก๐~
ตอนที่ 6 แหวนเจ้าเตโช และอัญมณีเจ้าวารีน
[/b]
ร่างบางผมสีฟ้าซึ่งตอนนี้ยาวแค่กลางหลังนั่งทอดอารมณ์ใช้ดวงตาสีทองมองไปยังท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ชุดสีขาวที่มีกระโปรงดูพองฟูขลิบทอง มีสีฟ้าแต้มนิดหน่อยช่วยเน้นให้ดูสะดุดตาขึ้น
หากตอนนี้มีชายใดกล้าเข้ามาถึงพระตำหนักหลวงในพระราชวังอัคคี แห่งแฟร์แลนเทียร์  แล้วล่ะก็ ชายนั้นคงจะตกตะลึงได้ไม่ยาก แต่ดวงหน้าที่เศร้าสร้อยนั้นก็ชวนให้รู้สึกสงสารจับใจ
ตั้งแต่มาอยู่ในวังเทย์ก็ไม่ได้พบกับพวกซีไนท์อีกเลย แม้ว่าจะรู้ข่าวว่าพวกเขาผ่านด่านทดสอบการเป็นราชองครักษ์มาหลายด่านจนอีกสัปดาห์เดียวจะเป็นการตัดสินรอบสุดท้ายแล้วก็ตาม
ถ้าถามว่าอยากจะไปดูไหม...เธอจะตอบโดยไม่ลังเลเลยว่า...
อยาก!!!
เพราะตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่นี่...ชุมเบต้าเป็นแหล่งพักพิงแห่งแรกของเธอ โดยเฉพาะท่านยาย...
ท่านยาย...ไม่เพียงช่วยเหลือและให้แหล่งพักพิงกับลูกนกบาดเจ็บเช่นเธอ ท่านมอบให้ทั้งความรัก ความเมตตาอย่างที่เธอไม่เคยคิดว่าจะได้รับมาก่อน ท่านให้โดยไม่หวังผลใดๆ ให้จน...
เด็กสาวเริ่มปาดน้ำใสๆ ที่เอ่อล้นออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
คำขอร้องสุดท้ายของท่าน...
...จง เป็น คนดี ผู้ปกครอง ที่ดี อย่างที่ ชาวแฟร์แลนเทียร์ มุ่งหวัง ...
เธอจะทำให้ดีที่สุด...เท่าที่ความสามารถของมือน้อยๆ คู่นี้จะทำได้
“เจ้าหญิงเพคะ...เจ้าหญิง” เทย์สะดุ้ง
“ค่ะ...เอ่อ...จ๊ะ” เด็กละสายตาจากบานหน้าต่างมามองสาวกลางคนร่างยักษ์
“เจ้าชายอาเรียสให้มาทูลเชิญไปที่โต๊ะเสวยเพคะ”
“จะไปเดี๋ยวนี้หล่ะจ๊ะ”
สองอาทิตย์ที่ผ่านมากับการค้นพบสถานะใหม่ทำให้เทย์ต้องพยายามที่จะปรับตัวอย่างมากที่จะเรียนรู้ทุกอย่างที่นี่ ต้องปรับเปลี่ยนการพูดจา ต้องเรียนรู้ภาษาของที่นี่ที่เธอสามารถอ่านออกได้ดีแต่กลับเขียนอย่างกับไก่เขี่ย(เหมือนเดิม) มารยาททางสังคมที่เป็นระเบียบแบบแผนทำให้รู้สึกหงุดหงิดชอบกล และต้องรู้จักพวกชนชั้นสูงสำคัญๆ ที่ท่านอาไว้ใจในฐานะของเจ้าหญิงผู้ที่จะเป็นองค์ราชินีผู้ครอบครองราชอาณาจักรคนต่อไป
เรื่องของเธอมีคนรู้ไม่มากนักเพราะยังคงเป็นความลับอยู่โดยท่านอาทั้งสองบอกว่าการที่เธอแสดงตัวนั้น มันจะก่อให้เกิดอันตรายได้
อ๋อ...ลืมบอกไป
แท้จริงแล้วท่านอาเรียสเป็นน้องชายของท่านพ่อของฉัน...ก็ ราชาแอเรียสนะแหละ
ดังนั้น...ท่านอาเรียสจึง...เป็นอาแท้ๆ ของฉัน
“ท่านอาอาเรียส...ท่านอาเฟรนด้า” เทย์ถอนสายบัวทำความเคารพตามแบบแผนที่ได้ฝึกมาตลอดสองอาทิตย์ แม้ว่าจะยังดูเก้ๆ กังๆ  ก็ตาม
“มานั่งทานด้วยกันสิเทเรเซีย” เสียงทุ้มๆ เอ่ยช่วน
“เพคะ” หญิงสาวรับคำก่อนจะนั่งลงข้างๆ เฟรนด้า เทย์สังเกตว่ามีที่ว่างอีกที่หนึ่งเหลืออยู่
“วันนี้มีแขกหรือเพคะ”
“ไม่ใช่แขกที่ไหนหรอกจ๊ะ เจ้าหญิงฟรีด้าน่ะ”
“พี่ฟรีด้าหรือเพคะ” ตั้งแต่เจอกันคืนนั้นก็ยังไม่ได้เจอกันอีกเลย
“จ๊ะ เพิ่งจะกลับมาจากเที่ยวทางใต้...จริงสิท่านพี่ ท่านว่ามีบางอย่างอยากจะให้กับเทเรเซียไม่ใช่หรือ...”
“ไว้หลังอาหารดีกว่า เดี๋ยวเจ้าไปพบข้าที่ห้องทรงอักษรนะเทเรเซีย ฟรีด้ามานั่นแล้ว”
“ท่านพ่อ ท่านแม่” หญิงสาวผมสีดำสนิทนัยน์ตาสีทองดูมีเสน่ห์ถอนสายบัวอย่างถูกต้องทุกระเบียบนิ้ว ชุดสีขาวแต้มลายชมพูอ่อนขริบทองดูอ่อนหวานแต่ก็ดูมีสง่า
...อย่างนี้ใช่ไหม ที่เรียกว่า เจ้าหญิงตัวจริง...
“อย่าเพคะ!!!”
เทย์รีบห้ามเสียงหลงเมื่อเห็นเจ้าหญิงคนงามส่งรอยยิ้มและเตรียมจะถอนสายบัวทำความเคารพตน รีบวิ่งไปประคองให้ลุกขึ้น
...จากนั้นเทย์จึงทำความเคารพ โดยการถอนสายบัวแทน
“ตามศักดิ์แล้วท่านมีฐานะสูงกว่าข้า ท่านจะมาทำความเคารพข้าทำไม” เจ้าหญิงคนงามถาม
“แต่ท่านพี่มีศักดิ์เป็นพี่ของข้านะเพคะ ตอนนี้เราอยู่กันแบบครอบครัวข้าจึงควรทำความเคารพท่านถึงจะถูก” คำตอบของเทย์สร้างรอยยิ้มของเจ้าหญิงแสนสวยให้กว้างมากขึ้น มันดูจริงใจกว่ารอยยิ้มของเธอในตอนแรกเสียอีก
“เจ้าพูดถูกแต่...ที่อื่นเจ้าห้ามทำแบบนี้อีกนะ”
“เพคะ พี่หญิง”
“ทั้งสองพระองค์เสวยอาหารกันได้แล้วเพคะ” เฟรนด้าเตือนอย่างเอ็นดู


ห้องทรงอักษรของพระราชวังอัคคีนั้นเป็นห้องรูปหกเหลี่ยม มีตู้หนังสือรวบรวมอยู่ในนั้นกว่ายี่สิบตู้ แต่ล่ะตู้ก็สูงเกินส่วนสูงของเทย์ไปประมาณเกือบสองเมตร ดีหน่อยที่เวลาหาหนังสือไม่ต้องไปหาทีละตู้ ไม่อย่างนั้นสองอาทิตย์ก็คงหาเจอได้ยาก ที่นี่มีการจัดระเบียบเป็นอย่างดี มีการจัดรายชื่อหนังสือแบ่งไว้ตามประเภทไว้ที่หนังสือรายการที่วางไว้บนโต๊ะทรงงานตัวใหญ่ เวลาที่ต้องการหนังสือเล่มไหนก็แค่เขียนชื่อหนังสือลงบนกระจกขนาดเท่าฝ่ามือที่อยู่ข้างๆแล้วประทับตราประจำตัวของคนในราชวงศ์ลงไปบนช่องวงกลมข้างๆ กระจก หนังสือเล่มนั้นก็มาอยู่บนโต๊ะ และแน่นอนว่าคนที่จะใช้ได้ก็มีเพียงคนในราชวงศ์เท่านั้น ส่วนเวลาเก็บก็ไม่มีอะไรมากเพียงนำหนังสือที่ไม่ต้องการไปวางไว้บนชั้นวางกระจกใสข้างหน้าต่างแล้วประทับตราลงไปบนช่องวงกลมลักษณะเดียวกันกับตอนเรียกมา เพียงเท่านี้...หนังสือก็จะกลับเข้าที่ แต่เทย์เองคงยังใช้สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ เพราะเธอนั้นยังไม่มีตราประจำตัว
“เทเรเชีย!”
“เพคะ”
“นี่คือสิ่งที่อาจะให้เจ้า” เจ้าชายอาเรียสยื่นลูกแก้วกลมใสให้กับหญิงสาว
“มันคือ...”
“ลูกแก้วนี้มีชื่อเรียกว่า เบส ผู้ที่จะมีได้คือผู้ที่เป็นเชื้อพระวงศ์เท่านั้น คุณสมบัติของมันคือ เมื่อเจ้าถ่ายพลังลงไป มันจะกลายเป็นตราประจำตัวที่สามารถเปลี่ยนเป็นอาวุธ เครื่องประดับ หรืออะไรก็ตามแต่ที่เจ้าจะนึกถึง ข้อแม้ของมันคือ จะต้องเป็นสิ่งที่ไร้ชีวิต”
เทย์ยืนมองลูกแก้วกลมๆ ขนาดเท่าฝ่ามือที่มือขวา อย่างงงๆ น่าจะเรียกว่า ลูกแก้วสารพัดนึกมากกว่านะเนี่ย
“ท่านอาเพคะ...จะถ่ายพลังเข้าไปยังไง” หญิงสาวยิ้มแหยๆ
“จริงสิข้าลืมไป...หลับตาลงซะเทเรเซีย จับลูกแก้วไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง จากนั้นกำหนดจิตให้มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่บริเวณท้องน้อยให้เกิดภาพแสงสว่างรวมอยู่ที่จุดนั้นเพียงจุดเดียว...”
“เอาหล่ะ...ทีนี้ค่อยๆ เคลื่อนแสงนั้นขึ้นมาจากท้องน้อยสู่ไหล่ทั้งสองข้าง จากไหล่สู่แขน จากแขนสู่ฝ่ามือ จากฝ่ามือสู่ลูกแก้ว...”
“ค่อยๆ ช้าๆ ไม่ต้องรีบ” ผู้เป็นอาอธิบายอย่างใจเย็น
เหงื่อเริ่มซึมออกจากทางหน้าผากนวล เทย์ทำตามคำพูดของผู้เป็นอาทุกคำ ตอนนี้เทย์รู้สึกอึดอัด พลังของเธอไหลลงไปในลูกแก้วราวกับน้ำตก... เธอไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะหยุดไม่รู้ว่าเธอจะหมดแรงก่อนหรือเปล่า...พลังของเธอจะมีพอที่จะเติมเต็มหรือไม่... ตอนนี้เธออยากจะดันพลังทั้งหมดที่เธอมีใส่ลงไปในนั้นเหลือเกินเพื่อให้มันหยุดเสียที แต่ก็กลัวจะเกิดอาการธาตุไฟเข้าแทรกอย่างในหนังจีนกำลังภายใน
ทันใดนั้น เทย์ก็รู้สึกเหมือนพลังมันไหลช้าลงทุกที...
ฝ่ายอาเรียสมองหลานสาวถ่ายพลังลงไปในลูกแก้วอย่างสนใจ...พลังของเทเรเซียช่างมหาศาลเสียจริงๆ จากตอนแรกที่แสงจากฝ่ามือมีเพียงแสงริบหรี่ ตอนนี้มันกลับแสบตาจนเขาทนมองไม่ได้
แม้กระทั่ง ตู้หนังสือยังสั่นสะเทือนไปหมด...
...ตุ๊บ...
เทเรเซียทิ้งตัวลงกับพื้นอย่างคนหมดแรงทันทีที่แสงสว่างจางหายไป สิ่งที่อยู่ในมือคือตราประจำตัวรูปวิหกอัคคีสีแดงสวยงามปลายปีกแทรกด้วยสีทองดูล้ำค่าเช่นเดียวกับจะงอยปากและขาคู่นั้นที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีทอง และยังมีมังกรน้ำลักษณะคล้ายมังกรตามความเชื่อของจีนลำตัวมีสีน้ำเงินเข้มแสนสง่า เขาของมันมีสีทองเช่นเดียวกับขนบริเวณแผงคอ เท้าทั้งสี่ และส่วนหางที่คล้ายกับหางปลา ไม่ต้องสงสัยเลยว่า หากเธอประทับตรานี้ลงไปจะต้องเป็นรูปสองสิ่งนี้อยู่คู่กันเป็นแน่...
เทย์จับผมของเธอที่ตอนนี้ยาวจรดพื้นอีกครั้ง
“ท่านอา...ทำไมมีมังกรสีฟ้าด้วยเพคะ” หญิงสาวยื่นตราประจำตัวให้อาเรียสดู
“เพราะพลังของเจ้า” เขารับมาดู
พลังอันยิ่งใหญ่ แห่งความแตกต่างที่รวมเป็นหนึ่งเดียว...
“ท่านอาบอกว่า...มันเปลี่ยนสภาพได้”
อาเรียสพยักหน้าก่อนจะหยิบตราประจำตัวรูปวิหกอัคคีที่มีขนาดเล็กกว่าของเทย์เล็กน้อยแต่มีสีทองทั้งอันออกมา
“เจ้าดูนี่ เบสนาเชง” ตราประจำตัวของเขาเปลี่ยนเป็นสร้อยทองประดับจี้รูปวิหกอัคคี
เทย์อ้าปากค้าง รูปนกวิหกอัคคีที่เห็นอยู่นี้ลักษณะของมันไม่ต่างไปจากตราของท่านอาอาเรียสเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่มันมีขนาดเล็กกว่ามาก
“เพียงแค่เจ้าใช้มนตราที่ข้าพูดเมื่อครู่ พร้อมกับคิดถึงสิ่งที่เจ้าต้องการ” อาเรียสกล่าวมนตราบทนั้นอีกครั้ง สร้อยเส้นนั้นก็กลายเป็นตราเหมือนเดิม
“เบสนาเชง” เทย์กล่าวมนตราเบาๆ
รูปร่างของตราประจำตัวเริ่มขยายยืดและยาวขึ้นจนยาวเกือบเมตร...
เข็มขัดเส้นสีน้ำเงินเข้มแกมทองเส้นเล็กที่มีหัวทำจากทองประดับอัญมณีรูปวิหกอัคคีสีแดงและมังกรน้ำสีน้ำเงินเข้มปรากฏบนมือขวาของเธอ เทย์ยิ้มก่อนจะจับหัวเข็มขัดไว้แน่น ในใจนึกถึงเรื่องดาบตับเป็ด
“เบสนาเชง” ความยาวของมันลดลงพร้อมกับแข็งขึ้น จากเข็มขัดกลายเป็นดาบบางแต่คมกริบ องค์ประกอบของดาบส่วนใหญ่เป็นทอง คมมีดยาวฟุตครึ่งมีเส้นสีน้ำเงินอยู่ตรงกลางขนาบข้างด้วยเส้นสีแดงที่มีขนาดเล็กกว่าหนึ่งเท่าตัว ด้ามจับเป็นทอง ส่วนที่ใช้ป้องกันคมดาบของคู่ต่อสู้ด้านหนึ่งเป็นมังกรสีน้ำเงินเข้มอีกด้านหนึ่งเป็นวิหกอัคคีสีแดง...
เด็กสาวโยนมันไปมาอย่างคำนวณน้ำหนักก่อนจะเปลี่ยนให้มันเป็นเข็มขัดอีกครั้งและสวมมันลงไปเมื่อเห็นว่าผู้เป็นอามีเรื่องที่จะพูดกับตนเองมากกว่ารอให้เธอเล่นจนหนำใจได้
“แหวนกับอัญมณีที่สร้อยคอของเจ้าเจ้ารู้หรือไม่ว่ามันสำคัญอย่างไร...”
เทย์ล้วงสร้อยคอมาดูอัญมณีรูปหยดน้ำ
“เจ้าลองอ่านที่แหวนวงนั้นดูสิ...มันเขียนว่ายังไง”
“แหวนเจ้าเตโช!!!” เทย์อ่านด้วยสีหน้าฉงน ครั้งหนึ่งเทย์เคยคิดจะอ่านมันแต่ก็อ่านไม่ออก แต่ครั้งนี้เธอกลับอ่านมันได้อย่างง่ายดาย
“ใช่แหวนเจ้าเตโช แหวนเจ้าแห่งไฟทั้งมวล แหวนแสดงอำนาจของผู้เป็นราชา ตัวแทนของราชาแห่งแฟร์แลนเทียร์...ราชาที่ไม่มีแหวนวงนี้...ไม่มีวันเป็นราชาที่แท้จริง”
“หา!!! แล้วทำไมมันถึงมาอยู่นี่...แล้วก็ถอดไม่ออกอีกด้วยเพคะ”
อาเรียสยิ้มกับท่าทีของหลานสาว
“แหวน...เป็นผู้เลือกคนขึ้นมาเป็นผู้ครองอาณาจักร...ใช่ว่าใครอยากจะใส่ก็ใส่ได้”
เจ้าชายกล่าวพร้อมกับถวายคำนับ
“ท่านราชินีเทเรเซีย”
“ท่านอาทรงทำอะไรเพคะ!!!” เทย์ตกใจรีบลุกขึ้นมาจากพื้นรั้งผู้เป็นอาแทบไม่ทัน
“ตั้งแต่แหวนวงนี้สวมลงบนนิ้วของเจ้า...เจ้าก็กลายเป็นราชินีของอาณาจักรแล้ว ตำแหน่งที่เว้นว่างมานานเหลือเกิน”
“แต่ท่านอา...อย่างข้าจะเป็นราชินีได้อย่างไรเพคะ แล้วถ้าจะถอดมันออกมา...จะต้องทำอย่างไรเพคะ” ...จะได้มอบให้ท่านอาเป็นผู้ครองอาณาจักรแทนเสียเลย...
“จนกว่าเจ้าจะมีทายาทที่เหมาะสม...เจ้าถึงจะถอดมันออก”
“หา!!!”
มีลูกหรอ?
เราเพิ่งอายุสิบห้าเองนะ
“อีกหนึ่งสัปดาห์จะถึงวันสอบเข้าโรงเรียนจอมเวทย์แคนเดิ้ลไชล์แล้วใช่ไหม?”
“เพคะ”
“ข้าอยากให้เจ้าเข้าไปอย่างสามัญชน ข้าไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเจ้าเป็นใคร ถ้ามีคนเห็นแหวนวงนี้...มันจะเป็นอันตรายต่อตัวเจ้า ข้าต้องทำอะไรสักอย่าง” อาเรียสเดินไปมาอย่างใช้ความคิด
“ข้ารู้แล้ว...เทเรเซียยื่นมือขวาของเจ้ามา” อาเรียสเรียกคทามาไว้ในมือโบกมันสองสามครั้ง
“ไฮรด์ไฮริง!” แสงสีขาวพุ่งออกมาจากคฑากระจายจนคลุมมือทั้งมือของเทย์ไว้ พอแสงนั้นหายไปแหวนก็หายไปจากนิ้วของเทย์แล้ว...แต่เธอยังรู้สึกถึงมันได้อยู่
“มันเป็นเวทย์ลวงตาที่ทำให้คนมองไม่เห็นแหวน...ข้าช่วยเจ้าได้เท่านี้”
“ขอบพระทัยเพคะ แล้วอัญมณี...อัญมณีเจ้าวารีน” หญิงสาวก้มลงอ่าน
“ของสำคัญของ ฟูลรีนเร่ ต้องให้คนของฟูลรินเร่ จัดการใช่ไหม...ท่านราชู เดอะ ปริ้นซ์ อ๊อฟ ฟูลรีนเร่” ชายในวัยแก่กว่าท่านอาเรียสเล็กน้อยก้าวออกมาจากเงามืด
“ท่านลุงราชู!”
หญิงสาวอุทาน ใบหน้าของชายชุดน้ำเงินที่เคยหล่อเหลามีรอยบากจนดูคมเข้มขึ้น
“ข้าคิดว่าท่านจะ...พร้อมกับท่านพ่อท่านแม่เสียแล้ว” หญิงสาวร่ำไห้ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในฝันที่ไม่เคยบอกใคร
“อาเรียสท่านเล่าเรื่องในตอนนั้นให้นางฟังหรือ?” อาเรียสสายศีรษะบอกว่าไม่รู้เรื่องก่อนจะเดินออกจากห้องไป
“เทเรเซีย...เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้า...เกือบ...”
“ข้าฝันท่านลุง...ข้าฝัน...”
“เด็ก...หนอเด็ก” ราชูถอนหายใจ ฝ่ามือหนาลูบหัวหลานสาวเบาๆ
“เรื่องมันผ่านมาแล้ว...แม่ของเจ้าช่วยลุงไว้” ผู้เป็นลุงเริ่มน้ำตาคลอเหมือนกัน
“เอาหล่ะ...เดี๋ยวจะไปกันใหญ่ เรามาพูดเรื่องสำคัญกันดีกว่า...” เขาสูดลมหายใจลึก
“ผู้ครอบครองอัญมณีเจ้าวารีนจะควบคุมสิ่งที่เกี่ยวข้องกับน้ำได้ทั้งหมด น้ำจะไม่มีวันทำอันตรายผู้ครอบครอง ชาวฟูลรีนเร่จะให้ความเคารพผู้ครอบครองแหวนประดุจเจ้าเหนือหัว...”
“ของสำคัญอย่างนี้...”
“เจ้าไม่สามารถถอดมอบให้ใครได้...เทเรเซีย อัญมณีเป็นผู้เลือกเจ้าแล้วเช่นกัน แต่สำหรับเมือง ฟูลรีนเร่แล้ว เจ้าสบายใจได้ว่าเจ้าจะไม่ต้องเป็นผู้ครอบครองอาณาจักร”
เทย์พยักหน้าอย่างเข้าใจบ้าง(ไม่เข้าใจบ้าง)
“เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้เวทย์ซ่อนเหมือนแหวนวงนั้น...แค่เจ้าเก็บไว้ใต้เสื้อคลุมให้ดีก็พอแล้ว”
“เพคะ”


   “เจ้าหญิงเทเรเซียเพคะ เจ้าหญิง ทรงตื่นบรรทมได้แล้วเพคะ ท่านอาจารย์มาแล้วเพคะ” มาเรียผู้ควบคุมดูแลนางกำนัลฝ่ายในทั้งหมด หรือถ้าจะเปรียบกับหนังเกาหลีก็คงจะเป็นซังกุงสูงสุดที่มีตำแหน่งควบเป็นแม่นมของเจ้าหญิงฟรีด้า ที่ดูเหมือนจะย้ายสังกัดมาที่เทย์เสียแล้วพยายามปลุกเด็กสาวชนิดหน้าดำหน้าแดง
“ถ้าพระองค์ไม่ตื่น ข้าต้องถูกทำโทษแน่นอนเลยนะเพคะ...” ซังกุง(?)ร่างยักษ์ที่รู้จุดอ่อนของเด็กสาวเริ่มทำเสียงสะอื้นชวนน่าสงสาร
“โทษสถานเบาก็คงจะแค่หลังลาย แต่ถ้าเจ้าชายอาเรียสทรงกริ้วอยู่ ข้าอาจจะ...” ยังพูดไม่ทันจบประโยค ร่างบางที่มัวนอนบิดซ้ายบิดขวา แถมคว้าหมอนมาปิดหูก็รีบกระโจนออกจากที่นอนพุ่งออกไปที่ห้องสรงน้ำที่อยู่ข้างๆ เพียงไม่กี่นาทีเด็กสาวก็ออกมาในชุดทะมัดทะแมงจนมาเรียต้องรีบเรียกนางกำนัลมาช่วยกันจับเด็กสาวไปอาบน้ำใหม่และกลับออกมาในชุดพลิ้วไหวยาวลากพื้น
“มาเรียข้าจะไปฝึกการใช้พลังโนนเวลกับฟันดาบนะไม่ใช่เรียนงานบ้านงานเรือนเย็บปักถักร้อย” เทย์บอกอย่างหน่ายๆ ขณะที่สายตาไล่มองผิวตัวเองที่โดนขัดจนแดงแถมยังรู้สึกแสบๆ คันๆ นิดๆ จนน้ำตาคลอเบ้า จะโอดโอยไปก็ใช่ที่ในเมื่อ เมื่อสักครู่ตอนโดนรุมขัดสีฉวีวรรณก็ร้องจนวังแทบแตกแต่ก็ไม่ยักกะมีใครสนใจ ร้องไปทำไมให้เปลืองแรงเปล่า
“เจ้าหญิงเฟรนด้าทรงสั่งไว้เพคะ” แค่เพียงคำนี้ เทย์ก็ต้องก้มหน้าเดินออกไปโดยไร้ข้อโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น
คนที่จะมาสอนเด็กสาววันนี้ก็มิใช่ใครอื่น ก็ท่านเอ็นด์ดรายหัวหน้าราชองครักษ์ที่อาสามาสอนหลักสูตรพิเศษ เร่งรัดการใช้พลังโนนเวลกับการใช้ดาบเบื้องต้น ที่เริ่มมาสอนให้เธอตั้งแต่วันที่ท่านอามอบตราประจำตัวให้
“หากเจ้าต้องการที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างปลอดภัยและไม่ต้องการให้ใครลำบากเรื่องดูแลเจ้า เจ้าก็สมควรฝึกฝนไว้ อีกอย่าง...เจ้าต้องใช้มันเพื่อสอบเข้าโรงเรียนจอมเวทย์ฯ” และนั่นก็เป็นเหตุผลที่เธอขัดแย้งไม่ได้
ตอนเช้าเธอต้องเข้าห้องทรงอักษรเพื่อเรียนเรื่องทั่วๆ ไปเกี่ยวกับแฟร์แลนเทียร์ ทั้งภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ประชากร ความเป็นอยู่ วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ตลอดจนเรื่องของราชวงศ์ ที่บางคนคงต้องใช้เวลาทั้งชีวิตในการเรียนรู้ แต่เธอกลับต้องมาเรียนรู้ให้หมดภายในเวลาไม่กี่วันโดยมีท่านอาเป็นผู้ชี้แนะ
ตอนเย็นเธอก็ต้องไปฝึกพลังโนนเวลกับการใช้ดาบ...
แต่วันนี้...ท่านอามีประชุมจึงให้ท่านเอ็นด์ดรายมาสอนตอนเช้าแทน
วันนี้ท่านเอ็นด์ดรายเข้ามาในวังพร้อมกับเด็กหญิงตัวน้อยที่มีอายุไม่เกิน 8 ขวบ ผมของเธอสีม่วงอ่อนๆ เกือบขาวจนดูแปลกตา หนำซ้ำผิวของเธอยังขาวจนดูชืดราวกับไร้ชีวิต ดูเป็นเด็กที่อ่อนแอและอมโรค มีเพียงดวงตาสีเข้มเท่านั้นที่เต้นระริกราวกับต้องการเรียนรู้ไปเสียทุกสิ่ง...
ต่อมาเทย์ถึงได้รู้ว่าภาพภายนอกที่เธอเห็นนั้น มันหลอกตาเธอชัดๆ เด็กหญิงตัวน้อยที่เธอรู้มาว่าชื่อ “รีลน่า” เป็นบุตรสาวคนสุดท้องของท่านเอ็นด์ดราย เธอเป็นโรคผิวเผือกมาแต่กำเนิด แต่มันไม่ได้บั่นทอนความสามารถในการเรียนรู้หรือทำให้ร่างกายของเด็กน้อยอ่อนด้อยไปกว่าใครๆ ได้เลย ดังนั้น ฝีมือในการใช้พลังโนนเวลและการใช้มีดสั้นของเจ้าตัวน้อยที่เติบโตมากับบิดาที่รักการต่อสู้เป็นชีวิตจิตใจ จึงไม่ได้ด้อยไปกว่าเทย์ซึ่งมีอายุมากกว่าแต่ฝึกทีหลังมานานนับปี หรืออาจจะเหนือว่าก็ได้ในเมื่อตอนนี้เด็กสาวยังไม่สามารถใช้พลังได้อย่างใจคิด
“ฝีมือดาบของเจ้าหญิงนับว่าอยู่ในขั้นดี เพียงแต่ท่านขาดการฝึกพื้นฐานอย่างจริงจังแต่ละดาบที่ฟันลงมาจึงขาดความหนักแน่น...เวลาจับดาบท่านไม่ควรจับแน่นเกินไป มันจะทำให้มือของท่านล้าได้ง่าย ท่านต้องจับดาบเพียงหลวมๆ แต่กระชับ ให้ท่านคิดเสียว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของแขนท่าน...” ท่านหัวหน้าราชองครักษ์ที่ควบตำแหน่งคนสนิทของท่านอาอธิบายฝีมือดาบอันไร้เทียมทาน(?)ของเธอและบอกจุดสมควรปรบปรุงเล็กน้อย(?)ให้เธอกลับไปแก้ไข
“สำหรับการฝึกพลังโนนเวล ข้าจะให้ท่านเรียนรู้พื้นฐานจากรีลน่า เจ้าชายอาเรียสทรงอนุญาตให้เด็กคนนี้เข้ามาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าหญิงในวังได้ ระหว่างนั้นข้าจึงให้รีลน่าแนะนำการใช้พลังแก่ท่านด้วย...” คำบอกกล่าวของท่านเอ็นด์ดรายทำเอาเทย์พูดไม่ออก
...ตกลงเธอต้องคำนับเด็ก 8 ขวบเป็นอาจารย์ใช่ไหมนี่...
แต่ความกังวลนั้นอยู่กับเด็กสาวไม่นานนัก เพราะสุดท้าย...ด้วยความขยันเรียนอย่างหาใครเปรียบมิได้ การสนทนาของทั้งคู่หลังจากท่านหัวหน้าราชองครักษ์กลับไปแล้วจึงมีแต่เนื้อหาเรื่องเรียนล้วนๆ
“เจ้าเรียกข้าว่าพี่เทย์ก็ได้ ข้าไม่มีน้องสาว แต่ก็อยากมีน้องสาวน่ารักๆ เหมือนเจ้า”
“เพคะ” เด็กน้อยยิ้มตอบรับอย่างไร้เดียงสา
“เจ้ามีพี่น้องกี่คนหรือ?” เจ้าหญิงแสนขยัน(?)สอบถามพรางหยิบขนมในขวดโหลขึ้นมาให้เด็กน้อยหนึ่งชิ้นก่อนจะหยิบใส่ปากตนเองบ้าง
“ข้ามีพี่ชายสองคนเพคะ พี่ คีรอสกับพี่ไค พี่คีรอสพี่เทย์คงเห็นแล้ว พี่คีรอสชอบการเดินทาง ในขณะเดียวกันก็รักการค้าขายมากกว่าการเป็นทหารหรือราชองครักษ์ พี่เขาจึงมักจะออกเดินทางไปค้าขายต่างเมืองบ่อยๆแล้วก็จะมีของเล่นมาฝากข้าเป็นประจำ...” เด็กหญิงเล่าอย่างอารมณ์ดี
“ส่วนพี่ไค...ข้าไม่ได้เจอพี่เขามาหลายปีแล้ว ท่านพ่อส่งให้พี่ไคไปอยู่กับญาติที่นอยโลเพราะข้าแท้ๆ เลย” เด็กหญิงเริ่มน้ำตาคลอทำเอาเทย์ที่กำลังจะคว้าขนมชิ้นที่สี่ขึ้นมาต้องรีบละขนมแล้วยื่นมือเข้ามาปลอบเด็กน้อยแทน 



<--:ThE--$eCret--GuilD:--> กิaaึกaัU จาก"ดาวดึงส์"
http://forum.asura.in.th/index.php?topic=13967.msg269553#msg269553


แมว...จรจัด

  • Jr. Member
  • **
    • กระทู้: 292
  • ~๐ยิ้ม๐ลับ๐ซ่อน๐ลึก๐~
ปล. เรื่องนี้เป็นการเขียนแบบไม่มีโครงสร้าง  g#015 เพราะเขียนตามที่คนเขียนอยากอ่าน g#015
      คนอ่านกะทำใจกันหน่อยนะ  g#020

<--:ThE--$eCret--GuilD:--> กิaaึกaัU จาก"ดาวดึงส์"
http://forum.asura.in.th/index.php?topic=13967.msg269553#msg269553