GAMEINDY กระดานสนทนา
www.gameindy.com

↓.~ สงคราม ประวัติศาสตร์ ~.↓

_BoAt

  • Newbie
  • *
    • กระทู้: 99



"ฝนเหลือง" : สารเคมีที่กองทัพอเมริกันใช้โปรยในเวียดนาม

ทั่วโลกประจักษ์ซึ้งถึงพิษภัยของ "ฝนเหลือง" (Agent Orange) เป็นอย่างดีในยุคสงครามเวียดนามระหว่างปี 2504-2518 เพราะเป็นสารกำจัดวัชพืชชนิดรุนแรงที่ทหารอเมริกันใช้ฉีดพ่นเหนือผืนป่าอันกว้างใหญ่ของเวียดนามใต้ เพื่อทำลายป่าที่หลบซ่อนของทหารเวียดกง โดยมีการประมาณกันว่า อเมริกันใช้ฝนเหลืองร้อยละ 60 หรือ 42 ล้านลิตร จากจำนวนสารเคมี 72 ล้านลิตรที่ใช้ไปในสงครามครั้งนั้น แม้ว่าเหตุการณ์จะผ่านไปแล้ว 20 ปีเศษ แต่ผลกระทบของฝนเหลืองต่อระบบนิเวศและสภาพแวดล้อม

สุขภาพของคนในเวียดนามใต้ ยังคงปรากฎให้เห็นชัดเจน และนี่เองกระมังที่ทำให้กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงวิทยาศาสตร์ พยายามกลบเกลื่อนเรื่องสารเคมีที่ขุดพบในสนามบินบ่อฝ้ายเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2542 ว่าไม่ใช่ "ฝนเหลือง" ทั้งๆ ยังไม่มีการตรวจหาไดออกซินซึ่งเป็นสารประกอบสำคัญของฝนเหลือง เพราะประเทศไทยไม่มีเครื่องมือที่ตรวจสอบสารนี้ได้ และมีผู้ที่เคยทำงานให้กับทหารอเมริกันในช่วงปี 2506-2507 ออกมายืนยันว่า ถังสารเคมีที่ขุดพบเป็นฝนเหลืองที่สหรัฐอเมริกาทิ้งไว้หลังจากเข้ามาทดลองในประเทศไทย ซึ่งสหรัฐฯ เองก็ไม่ได้ปฏิเสธ

ปฏิกิริยาของกรมควบคุมมลพิษในเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า สำหรับประเทศไทยแล้ว ฝนเหลืองยังน่ากลัวน้อยกว่าวิธีการทำงานแบบไม่โปร่งใสของหน่วยงานแห่งนี้เสียอีก สำหรับคำถามที่ว่า เจ้าฝนเหลืองนี้มันคืออะไร คำตอบคือ เป็นชื่อเล่นจากภาษาอังกฤษคำว่า "Agent Orange" ซึ่งเป็นสารผสมจากสารเคมี 2 ตัว ก็คือ 2,4-D และ 2,4,5-T มันเป็นสารใช้กำจัดวัชพืชในกลุ่ม chlorophenoxy herbicide แม้สารเคมีในกลุ่มนี้จะยังมีอีกหลายตัวด้วยกัน แต่ตัวที่มีพิษร้ายแรงที่สุดตัวหนึ่ง คือ 2,4,5-T ตัวนี้

สารในกลุ่ม chlorophenoxy herbicide เป็นสารที่ดูดซึมผ่านผิวหนังได้ และจะทำให้เกิดอาการทางประสาทตามมา ทำให้เกิดผื่นคัน ทำลายเนื้อเยื่อตับและไต และยังเป็นสารก่อมะเร็ง (carsinogen) เคยมีรายงานการทดลองในสัตว์พบว่า สารตัวนี้ทำให้เกิดมะเร็งและยังมีผลกระทบไปถึงลูกในรุ่นต่อไป ทำให้ทารกพิการแต่กำเนิด

แม้ได้รับในปริมาณความเข้มข้นต่ำ สำหรับสาร 2,4-D ชื่อเต็มคือ 2,4-dichlorophenoxy acetic acid องค์การอนามัยโลกจัดให้อยู่ในกลุ่มของสารอันตรายปานกลาง (Solid Class II, Moderately Hazardous) จัดเป็นสารกำจัดวัชพืชและสารที่ทำให้ใบไม้ร่วง มีฤทธิ์ฉับพลันต่อคนคือ ถ้าหากสูดดมเข้าไปจะทำให้ทางเดินหายใจ คือ คอ จมูก และปอด ปวดแสบปวดร้อน ถ้าสัมผัสที่ตาจะทำให้ตาแดง แสบตา ถูกผิวหนังจะทำให้ผิวด่าง และหากสัมผัสมากๆ จะทำให้เกิดอาการชักกระตุกของประสาทรอบนอก

ส่วนสาร 2,4,5-trichloronoxy acetic acid องค์การอนามัยโลกจัดให้อยู่ในกลุ่มของสารอันตรายปานกลางและมีฤทธิ์ต่อพืชเช่นเดียวกับ 2,4-D จากการทดลองในหนูทดลองพบว่า สาร 2,4,5-T มีผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์คือทำให้ฮอร์โมน testosterone ลดลงและทำให้ผู้ชายเป็นหมันได้

ประเด็นสำคัญคือ ทั้งในสาร 2,4-D และ 2,4,5-T มีสารประกอบสำคัญมีพิษร้ายแรงที่สุดในโลกคือ 2,3,7,8-tetrachlorodibenzo-p-dioxin (TCDD) หรือที่รู้จักกันในชื่อ dioxin ลำพังสาร 2,4-D และ 2,4,5-T เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะถูกขับออกในไม่ช้าและย่อยสลายในไม่นาน แต่ตัวที่อันตรายในที่สุดในฝนเหลืองคือ ไดออกซิน (dioxin) ซึ่งเป็นกลุ่มสารเคมี non-biodegradable คือ มีช่วงอายุนานหรือย่อยสลายยากในธรรมชาติและ dioxin นี่เอง ที่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและชีวิตของคนเวียดนามใต้อย่างมาก
ภาพต้นไม้

สำหรับพิษฝนเหลืองในเวียดนามใต้ดังกล่าวแล้วว่าอเมริกาได้ใช้ฝนเหลืองเป็นสัดส่วนถึงประมาณ 42 ล้านลิตร ภายใต้แผนปฏิบัติการ "Operation Ranch Hand" ในสงครามเวียดนาม และจากปริมาณฝนเหลืองดังกล่าวทำให้มีการประมาณการกันว่า มีสาร "ไดออกซิน" ทั้งหมดประมาณ 170 กิโลกรัมปนอยู่ในสภาพแวดล้อมทางภาคใต้ของเวียดนามระหว่างในช่วงสงคราม (สาร 2,4,5-T และ 2,4-D ในส่วนผสมของฝนเหลืองจะมีออกซินอยู่ประมาณ 3.83 กรัม/ลูกบาศก์เมตร)

โดยผลกระทบจากไดออกซินหลังสงครามต่อระบบนิเวศ สภาพแวดล้อมและสุขภาพของคนยังปรากฎชัดเจนกระทั่งทุกวันนี้ แม้เหตุการณ์จะผ่านไปแล้ว 20 ปีเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบที่เกิดกับสุขภาพมนุษย์ยังคงมีให้เห็นในรุ่นลูกรุ่นหลานของชาวเวียดนามที่ได้รับหรือสัมผัสฝนเหลืองในช่วงสงคราม

ธนาคารโลกเคยจัดทำรายงานเกี่ยวกับกรณีเวียดนามและได้ประมาณขอบเขตพื้นที่และป่า ที่ได้รับความเสียหายจากฝนเหลืองว่า มีประมาณกว้างประมาณ 625,000 ไร่ ถึง 12,500,000 ไร่ โดยรายงานของธนาคารโลกระบุชัดเจนว่า การสูญเสียทรัพยากรป่าไม้ ความย่อยยับของความหลากหลายทางชีวภาพและความเสียหายที่เกิดขึ้นกับพื้นที่เกษตรกรรมเป็นผลมาจากปฏิบัติการฝนเหลืองของสหรัฐฯ นั่นเอง

และด้วยเหตุที่สารไดออกซินจัดอยู่ในกลุ่มสารเคมีที่ไม่ย่อยสลายหรือย่อยสลายยากในธรรมชาติ สารเคมีกลุ่มนี้เมื่อปนเปื้อนอยู่ในสิ่งแวดล้อมแล้วจะสามารถเข้าไปสะสมอยู่ในห่วงโซ่อาหารได้ และเป็นสาเหตุสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้คนเวียดนามใต้ที่รับประทานอาหารซึ่งมีไดออกซินปนเปื้อนอยู่มีสารพิษตัวนี้สะสมอยู่ในร่างกาย และจากการทดลองจากตัวอย่างอาหารและสัตว์ป่าจากตลาดต่าง ๆ ทางภาคใต้ของเวียดนามระหว่างปี 2528-2530 ได้ผลยืนยันว่ามีสารไดออกซินสะสมในปริมาณสูง

นักวิทยาศาสตร์ทั้งชาวเวียดนามและชาวต่างชาติเคยทำการศึกษาทางระบาดวิทยาหลายครั้งด้วยกันเพื่อพิสูจน์ว่า การสัมผัสโดนฝนเหลืองมีความเชื่อมโยงสำคัญกับโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับคน เช่นทำให้เป็นโรคมะเร็งตับ เป็นโรคมะเร็งผิวหนังบางชนิด เช่น soft tissue sarcoma และ chonocarcinoma โดยเฉพาะที่เกิดกับคนที่อาศัยในบริเวณที่ได้รับฝนเหลืองในช่วงสงคราม ซึ่งรวมทั้งทหารผ่านศึกจากเวียดนามเหนือที่ได้รับสารตัวนี้เข้าไป

นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า ผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับฝนเหลืองหรือในครอบครัวของทหารผ่านศึกมีอัตราความผิดปกติที่เกิดขึ้นในระหว่างการตั้งครรภ์ เช่น ทำให้แท้งลูก ทารกตายในท้อง ทารกพิการแต่กำเนิด เป็นต้น สูงกว่าประชาชนในพื้นที่อื่น

ผลพวงของฝนเหลืองในยุคสงครามยังตกไปถึงน้ำนมในมารดาที่ตั้งครรภ์ด้วย จากการศึกษาตัวอย่างน้ำนมมารดาที่รวบรวมมาจากสตรีที่อาศัยอยู่ในภาคใต้ของเวียดนามพบว่า แม้ระดับของสารไดออกซินที่สะสมในน้ำนมมารดาลดลงไปจากระดับ 1450 พีพีที (parts per trilion) ในช่วงทศวรรษ 1970 เป็น 10-20 พีพีทีในปี 1994 (พ.ศ.2537) แต่ยังคงสูงกว่าที่ตรวจพบในน้ำนมมารดาของสตรีเวียดนามที่อยู่ทางภาคเหนือ ซึ่งไม่ได้รับฝนเหลือง และสูงกว่าน้ำนมมารดาของสตรีในประเทศอุตสาหกรรมต่างๆ 3-8 เท่า

มีการศึกษาอีกชุดหนึ่งที่ชี้ว่า ตัวอย่างเลือดทั้งหมดที่เก็บจากผู้คนที่เวียดนามใต้นั้นมีระดับไดออกซินสูงกว่าตัวอย่างเลือดที่เก็บจากคนในเวียดนามเหนือ การศึกษาชุดนี้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างระดับไดออกซินเจนในเลือดของผู้ใหญ่ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ศึกษาเป็นเวลานานกับปริมาณของฝนเหลืองที่มีการฉีดพ่นออกไปในช่วงสงคราม

องค์การอนามัยโลกจัดประเภทของสารไดออกซินไว้ในกลุ่มสารก่อมะเร็งในมนุษย์ ส่วนทางด้านสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมสหรัฐอเมริกา (Environmental Protection Agency-EPA) นั้น ระบุภายหลังจากที่มีการประเมินถึงพิษของสารไดออกซินครั้งล่าสุดแล้วว่า ไดออกซินมีอันตรายร้ายแรงกว่าดีดีทีถึง 200,000 เท่า ดังนั้นจึงเป็นเครื่องยืนยันได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า ฝนเหลืองในสมัยสงครามอินโดจีน มีผลกระทบร้ายแรงต่อทหารเวียดนามและทหารอเมริกันที่ได้รับสารตัวนี้เข้าไป

[พิษฝนเหลืองที่บ่อฝ้ายไม่ร้ายเท่าพิษของหน่วยงานรัฐ] : "จากการสอบถามคนเฒ่าคนแก่ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านบ่อฝ้าย ทำให้รู้ว่าสารเคมีดังกล่าวทหารอเมริกันนำมาใช้ในสมัยสงครามเวียดนาม โดยนำบรรทุกเครื่องบินแล้วไปโปรยในป่าที่กองกำลังเวียดกงหลบซ่อนอยู่ เมื่อใช้เหลือก็นำมาฝังกลบไว้กลางสนามบินบ่อฝ้าย" ซึ่งน.ท. ประเสริฐ น้ำฟ้า ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกการบินพลเรือนหัวหิน ออกให้สัมภาษณ์ หลังถังบรรจุสารเคมีที่ฝังอยู่ใต้ดินในระดับความลึกประมาณ 1.5 เมตร ถูกรถแบ็กโฮขุดกระทบ จนเกิดการรั่วไหลของสารเคมีในสนามบินบ่อฝ้าย อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 19 มี.ค. ปี 2542 ที่ผ่านมา

ผลของการขุดค้นถังบรรจุสารเคมีในเวลาต่อมาได้พบภาชนะเหล็กสภาพผุกร่อนขนาด 200 ลิตร ซึ่งที่ไม่มีสารเคมีเหลืออยู่อีก 1 ถัง และถังบรรจุสารเคมีจำนวน 5 ถัง ขนาดบรรจุ 15 ลิตร มีข้อความและหมายเลขกำกับว่า "Delaware Barrel PAT NO 2842282, Tri-sure, American lange, NY" คำว่า "Delaware" เป็นชื่อเมืองในประเทศสหรัฐอเมริกานั่นเอง ทำให้เกิดข้อสงสัยตั้งแต่เบื้องต้นว่า ถังบรรจุสารเคมีดังกล่าวน่าจะเป็นของสหรัฐ ก่อนที่จะมีคนไทยหลายคนทยอยออกมาให้ข้อมูล พร้อมรูปถ่ายว่าสหรัฐฯ ได้เคยมีการเข้ามาทดลองสารเคมี ที่เรียกว่า "ฝนเหลือง" บริเวณนี้ เพื่อนำไปใช้ในสงครามเวียดนามนั่นเอง

นายเอนก กลิ่นน้อย อายุ 53 ปี ราษฎรบ้านบ่อฝ้าย เปิดเผยว่า เมื่อปี 2506 สมัยที่มีอายุ 17 ปี เคยรับจ้างทหารอเมริกันผสมสารเคมี และมีการนำไปโปรยในป่าหลังค่ายธนะรัชต์ อ.ปราณบุรี ซึ่งสภาพภูมิประเทศที่นั่นเหมือนที่เวียดนาม ซึ่งทดลองเกือบ 1 ปี

"สารเคมีที่นำมาผสมมี 3 ชนิด เป็นผงสีขาวๆ และสีดำ มีกลิ่นเหม็นมาก เวลากวนจะต้องใส่ถุงมือ และหน้ากาก ช่วงที่ทำงานอยู่ ผมก็มีอาการแพ้สารเคมีเหมือนกัน และหลังจากที่ได้ผสมเสร็จจะนำขึ้นบรรทุกเครื่องบิน สมัยนั้นเรียกว่า "โครงการใบไม้ร่วง" โดยเมื่อนำสารเคมีผสมเสร็จแล้วไปโปรย ต้นไม้ก็จะตายลงอย่างรวดเร็ว" นายเอนกกล่าว *(อ้างอิง : กรุงเทพธุรกิจ 5, 8 เม.ย.42)

ด้าน เรือโท เมธี เพ็ญสาดแสง วัย 72 ปี ซึ่งเป็นอดีตหัวหน้ากองศูนย์ฝึกการบินพลเรือนในช่วงปี 2508 ก็บอกในทำนองเดียวกันว่า ช่วงทดลอง ทหารอเมริกัน และคนไทยที่ไปรับจ้างทำงานเรียกสารตัวนี้ว่าฝนเหลือง "สมัยนั้นคนไทยที่ทำงานอยู่คิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย นี่ล่วงเลยมา 30 ปีแล้ว สารพิษยังไม่สลายตัว กรมควบคุมมลพิษบอกความจริงกับชาวหัวหินว่าสารเคมีที่ขุดพบเป็นสารเคมีตัวใดและเร่งรีบแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน" เรือโทเมธี กล่าว

นอกจากนี้ ทักษ์ เดชะปัญญา ปธ.สภาเทศบาลตำบลหัวหิน ที่เคยเป็นล่าม และช่างภาพให้กับผู้เชี่ยวชาญของสหรัฐฯ ก็ได้ออกมาระบุว่า การทดลองสารเคมีในพื้นที่สนามบินบ่อฝ้ายดังกล่าว ใช้ชื่อว่า "defoliate" หรือ "แผนใบไม้ร่วง" ซึ่งท่ามกลางความเคลือบแคลงสงสัยของประชาชนว่า สารเคมีที่ขุดพบนี้อาจเป็นส่วนประกอบของฝนเหลือง กรมควบคุมมลพิษก็ได้เข้าไปตรวจสอบพื้นที่ในระหว่าง 23 มี.ค.- 4 เม.ย. 2542 พร้อมเก็บตัวอย่างดินและน้ำที่ปนเปื้อนมาวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการของบริษัทเอกชนที่มาช่วยตรวจสอบด้วย หลังจากตรวจสอบสารปนเปื้อนเพียง 2 วัน

คุณ นวล เภทยาภัชร ซึ่งเป็น ผอ.กองวัตถุมีพิษ สังกัดกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็ได้ออกมาเปิดเผยผลการวิเคราะห์ว่า "พบไดเมทโธเอต" (Dimethoate) และ" ไตรอะโซฟอส" (Triazophos) ในปริมาณความเข้มข้นที่ต่ำมาก และยืนยันอย่างชัดแจ้งว่า จากการตรวจสอบระดับอนุภาคของตัวสาร ระดับโมเลกุล และทุกโครงสร้างทางเคมี ไม่พบทั้ง 2,4-D และ 2,4,5-T หรือแม้แต่ไดออกซิน ดังนั้นสารดังกล่าวจึงไม่ใช่ฝนเหลือง

โดยผลการตรวจในห้องปฏิบัติการกรมควบคุมมลพิษ และบริษัทเอกชน ซึ่งก็คือบริษัทเจนโก้นั้น ศิริธัญญ์ ไพโรจน์บริบูรณ์ รองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ(ขณะนั้น) ออกมาเปิดเผยภายหลังว่า ไม่พบ 2,4,5-T และ 2,4-D รวมถึงไดออกซินเช่นเดียวกัน โดยทั้งนี้สารประกอบหลักที่กรมควบคุมมลพิษตรวจพบนั้นคือ 2,6-bis-4-methylphenol หรือ Butylated Hydroxytoluene ซึ่งใช้เป็นสารป้องกันการเกิดออกซิเดชั่นในน้ำมันเชื้อเพลิง และในส่วนของห้องปฏิบัติเอกชน ซึ่งได้มีการตรวจพบตัวทำละลายอินทรีย์อยู่ในกลุ่มของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ซึ่งเป็นกลุ่มสารที่ก่อให้เกิดกลิ่นเหมือนรบกวน ประกอบไปด้วย เบนซีน โทลูอีน เอทธิลเบนซีน และก็ ไซลีน ที่ไว้ใช้ประโยชน์ในการล้างคราบไขมัน และมันเป็นเชื้อเพลิง

อย่างไรก็ดี ยังมีกลุ่มศึกษาและรณรงค์มลภาวะอุตสาหกรรมคณะกรรมการรณรงค์ป้องกันภัยสารพิษและอีกอลุ่มคือ กลุ่มกรีนพีชนานาชาติ ในโครงการเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ก็ได้ออกมาเรียกร้องให้กรมควบคุมมลพิษตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้น เพื่อมาตรวจสอบสารเคมีดังกล่าว รวมทั้งตรวจสอบให้ทราบถึงบริษัทผู้ผลิต เพื่อที่ยืนยันลักษณะสารเคมี และให้ประเทศที่เป็นเจ้าออกมารับผิดชอบ

นอกจากนี้ยังได้ทำจดหมายถึงสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย ให้เปิดเผยข้อมูลทางการทหารที่เคยมีการทดลองสารพิษในประเทศไทยสมัยสงครามเวียดนามด้วย รวมทั้งได้ติดต่อกับศูนย์ข้อมูลสารพิษในสหรัฐฯ ที่ชื่อมัลติเนาชั่นแนล รีสอร์ชเซ็นเตอร์ เพื่อขอข้อมูลสารพิษเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังขอให้ศูนย์ดังกล่าวส่งจดหมายไปยังกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ให้เปิดเผยข้อมูลปฏิบัติการทางทหารในการทดลองสารพิษในประเทศไทยระหว่างสงครามเวียดนาม

"เราไม่เชื่อว่าการตรวจมีประสิทธิภาพพอ เพราะปกติการตรวจหาสารพิษเหล่านี้ ต้องมีการตรวจยืนยันกันหลายรอบ นอกจากนี้การเก็บตัวอย่างดินก็ไม่รู้ว่าครอบคลุมบริเวณปนเปื้อนทั้งหมดหรือเปล่า อีกอย่างหนึ่งคือการตรวจหาไดออกซินนั้น ตรวจหาได้ยากมากในประเทศไทยเองก็ยังไม่มีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพพอ และต้องใช้งบประมาณสูง" ซึ่ง เพ็ญโฉม ตั้ง จากกลุ่มศึกษา และรณรงค์มลภาวะอุตสาหกรรม ได้กล่าวถึงเหตุผลที่ไม่สามารถยอมรับ ผลการตรวจของกรมควบคุมมลพิษได้

อีกอย่าง [ภาพใบไม้ร่วง] : ระหว่างที่ไม่มีการตรวจสอบที่ชัดเจนว่า สารเคมีที่พบ เป็นของใคร เป็นสารอะไรกันนั้น ได้มีคณะกรรมการเฉพาะกิจ ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ขึ้นมาดูแลเรื่องนี้ ซึ่งมีนายศิริธัญญ์ เป็นประธาน ได้พยายามเพื่อจะให้บริษัทเจนโก้ เข้าไปดำเนินการบำบัดสารเคมีที่สนามบินบ่อฝ้ายอย่างเร่งด่วน เพื่อยุติปัญหา และเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยมีค่าใช้จ่ายเบื้องต้นกว่า 30 ล้านบาท ทั้งนี้คณะรัฐมนตรีนั้นไม่ได้อนุมัติงบประมาณดังกล่าวให้ แต่ได้มีการลดงบประมาณเหลือ 16 ล้านบาทในเวลาต่อมา เพราะว่ากรมควบคุมมลพิษไม่สามารถระบุพื้นที่ที่ปนเปื้อนสารเคมีได้อย่างชัดเจน

"ทำไมกรมควบคุมมลพิษไม่พยายามสืบหาต้นตอของสารเคมีนี้ทั้งที่เห็นอยู่ว่ามีอันตราย เป็นสารเคมีที่จัดเก็บผิดวิธี แม้แต่กรมเองก็ยังตอบไม่ได้ว่าสารนี้คืออะไร" เพ็ญโฉมกล่าวพร้อมกับเสริมว่า หากไม่สามารถสืบหาต้นตอของสารเคมีได้ก็จะไม่สามารถจัดการได้ถูกวิธีเพราะสารเคมีทุกชนิดล้วนมีความเป็นพิษต่างกัน การจัดการจัดเก็บจึงต้องต่างกันไปด้วย มิหนำซ้ำยังตั้งข้อสงสัยด้วยว่า ถ้าสารเคมีดังกล่าวไม่มีอันตรายจริงตามที่หลายฝ่ายออกมามายืนยัน ทำไมจึงต้องเสียงบประมาณจำนวนมากในการจัดการสารตกค้างเหล่านี้ (กรุงเทพธุรกิจ 12 เม.ย. 42)

ด้านสหรัฐฯ ซึ่งเก็บตัวเงียบตลอดเวลาที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเจ้าของสารพิษ "ฝนเหลือง" ที่มีการขุดพบ ในที่สุดเมื่อถูกก็ออกมายอมรับ โดยโฆษกประจำสถานทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทยได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอพีเมื่อวันที่ 30 เม.ย. ว่า กองทัพสหรัฐฯ ได้เข้ามาปฏิบัติการทดลองสารเคมีที่มีชื่อว่า เอเยนต์ออเรนจ์ ในประเทศไทย โดยใช้ชื่อ Thailand Defoliation Program หรือโครงการปฏิบัติการทดลองใบไม้ร่วงในไทย ช่วงระหว่าง เม.ย. 2507 - มิ.ย. 2508 บริเวณค่ายทหาร อ.ปราณบุรี ประจวบฯ ซึ่งไม่ไกลจากสนามบินบ่อฝ้ายนัก

รัฐบาล ถนอม กิตติขจร ก็รับทราบอย่างเป็นทางการด้วย ไม่เพียงเท่านั้น เอกสารของสถานทูตสหรัฐฯ ที่ส่งให้ประเทศไทยในเวลาต่อมายังมีการระบุด้วยว่า นอกจากฝนเหลืองแล้ว สหรัฐฯ ก็ยังมีการทดลองสารเคมีตัวอื่นๆ ด้วย เพื่อเปรียบเทียบกับสารเอเยนต์ออเรนจ์ เช่น สารสีม่วง สารสีชมพู เป็นต้น โดยการทดลองครั้งมีคนไทยเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการดำเนินการด้วย 2 คน คือ นายเต็ม สมิธินันท์ นักวิชาการกรมป่าไม้ (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) และก็ นายสมจิตร พงค์พงัน

ส่วนถังสารเคมีที่พบในสนามบินบ่อฝ้ายนั้น โฆษกประจำสถานทูตสหรัฐฯ คนเดิมเลี่ยงที่จะพูดถึงชนิดและแหล่งที่มา โดยกล่าวเพียงว่า จากการพิสูจน์ของทางการไทยพบว่า ไม่ได้บรรจุสารที่เป็นส่วนที่ประกอบของเอเยนต์ออเรนจ์ และในเวลาต่อมา นายสมจิตร ได้ออกมาเปิดเผยว่า หลังจากที่มีการโปรยสารเคมีในช่วงของการวิจัย ปี 2507 กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้ทำการติดตามผลระยะยาวว่า จะมีผลต่อมนุษย์และสัตว์รวมทั้งป่าไม้อย่างไร

จากการพบปะและเยี่ยมเยียนครอบครัวคนงานที่ถูกว่าจ้างให้เก็บตัวอย่างหลังการโปรยสารเคมีแต่ละครั้ง และครอบครัวคนงานที่อยู่ใกล้บริเวณที่โปรยสารเคมีพบว่า เด็กชายคนหนึ่งที่เป็นบุตรของคนงานต้องเป็นเด็กพิการ คือ มีหน้าอกยุบแฟบไม่สมประกอบ ซึ่งจากการสอบถามพบว่าเด็กชายดังกล่าวอยู่ในระหว่างที่มีการโปรยสารเคมีในบริเวณนั้น (มติชน, กรุงเทพธุรกิจ 12 พ.ค. 42)

หลังจากการออกมายอมรับของสหรัฐฯ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ โดยกรมควบคุมมลพิษ จึงได้ทำการเก็บตัวอย่างดินที่ปนเปื้อนสารเคมีในสนามบินบ่อฝ้ายมาทำการตรวจสอบใหม่ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ที่จากสำนักงานคุ้มครองมลพิษของสหรัฐฯ ตัวอย่างดินที่เก็บคราวนี้อยู่ที่ระดับความลึก 2-5 เมตรซึ่งเป็นชั้นดินดาน และได้ส่งไปตรวจสอบที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เพราะจริง ๆ แล้วประเทศไทยไม่สามารถตรวจสอบสารไดออกซินได้ ซึ่งสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ออกมายอมรับว่า ที่ผ่านมาก็ยังไม่ได้ตรวจสอบสารตัวนี้ เพราะไม่มีเครื่องมือเพียงพอ

ด้าน คุณศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ก็ตามคำถามนี้ได้เพียงว่า "ที่ผ่านมากรมควบคุมมลพิษเก็บตัวอย่างดินและน้ำที่ถูกสารเคมีปนเปื้อนไปตรวจสอบและนำไปใช้วิธีการตรวจสอบแบบเทียบเคียงแล้วไม่พบว่ามีการปนเปื้อนของไดออกซินแต่อย่างใด ในภาวะเร่งด่วนที่ต้องรายงานให้ประชาชนทราบ จึงต้องใช้วิธีการเช่นนี้ และยืนยันว่าผลการตรวจสอบที่ออกมาเป็นไปตามมาตรฐานการวัดค่าทุกอย่าง" *(อ้างอิง : มติชน 5 เม.ย. 42)

"ไม่ใช่แต่กรณีของบ่อฝ้ายที่เดียวหรอก เท่าที่สังเกตดู ปัญหาทุกปัญหาที่เกิดขึ้น หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องหรือผู้มีอำนาจที่ต้องรับผิดชอบในเรื่องนั้น มักจะรีบออกมาปฏิเสธ ในกรณีนี้ กรมควบคุมมลพิษอาจออกมาปฏิเสธเพื่อที่จะไม่ให้ประชาชนตื่นกลัว แต่กลับไม่คำนึงปัญหาเลยว่าจะก่อผลกระทบอย่างไรบ้าง" คุณเพ็ญโฉมสะท้อนภาพวิธีการแก้ปัญหาของกรมควบคุมมลพิษ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ฝนเหลืองที่ว่าอันตราย บางทีก็ยังอันตรายน้อยกว่าระบบการแก้ปัญหาของราชการไทยเสียอีก"


Chill-Chill ๛` บ า ง ที ก็ เ ล ว `๛


_BoAt

  • Newbie
  • *
    • กระทู้: 99



ซีเรีย: บางทีภาพนี้อาจทำให้เข้าใจฝรั่งเศสได้ดีขึ้น
แอฟริกาซึ่งได้รับและมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากการเติบโตของนักรบจีฮาดในซีเรีย ซึ่ง ได้นำไปสู่ปัญหาของฝรั่งเศสในโซมาเลีย ตูนีเซีย แล มาลี อดีตอาณานิคมของฝรั่งเศส ซึ่ง อยู่ในงบประมาณสงวนภาษาและวัฒนธรรมของฝรั่งเศส อันเป็นสิ่งที่รัฐบาลฝรั่งเศสทุ่มเทเป็นอย่างมากเพื่อไม่ให้อิทธิพลของตนเสื่อมคลาย


Chill-Chill ๛` บ า ง ที ก็ เ ล ว `๛


_BoAt

  • Newbie
  • *
    • กระทู้: 99



"Black Water".. นักรบรับจ้างเดนตาย ที่มีประสิทธิภาพสูง

หากกล่าวคำว่า "P.M.C." ( Private Military Company) ถ้าพูดชื่อนี้ออกไปหลายคนอาจจะไม่รู้จัก แต่ถ้าบอกว่าเป็นเหล่าทหารรับจ้าง หลายคนอาจรู้จักหรือเคยได้ยิน โดยทหารรับจ้าง (P.M.C.) เหล่านี้ ก็มีอยู่ในหลายบริษัท แต่หลักๆ เลยก็คือ "Black Water" หรือภายใต้ชื่อใหม่ง่า "Xe" ทั้งนี้เรื่องที่ถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับพวกเขาเหล่านี้ ที่นอกจากผลตอบแทนเป็นเม็ดเงินอันคุ้มค่าแล้ว ก็ต้องเป็นการกระทำที่กระทำเพื่อเกียติรติยศและชื่อเสียงด้วย โดยความบ้าระห่ำของนักรบรับจ้างเหล่านี้ เป็นที่ทราบโดยทั่วไปว่าเป็นเช่นไร เพราะทหารรับจ้างส่วนใหญ่ของ "Black Water" จะมาจากอดีตกำลังพลของกองทัพสหรัฐฯ อย่างเช่น อดีตทหารจากหน่วยเนวี่ ซีล (Navy Seal) ที่กำลังของแบล๊ควอเตอร์ส่วนใหญ่นั้นมาจากหน่วยซีล อีกทั้งยังมีสมาชิกที่เป็นอดีตทหารนาวิกโยธิน และอดีตกำลังพลจากหน่วย S.W.A.T. ก็มี ซึ่งคงไม่ต้องอธิบายกันให้มากมายว่า แต่ละหน่วยที่นักรบรับจ้างแบล๊ควอเตอร์เคยสังกัดมาในอดีตนั้น ว่ามีการฝึกหนักแค่ไหน และเป็นหน่วยที่มีประสิทธิภาพ และมีขีดความสามารถเพียงใด ซึ่งเป็นที่ที่ยอมรับกันทั่วไปในเรื่องของคุณภาพและความสามารถในการรบอยู่แล้ว

สำหรับประสบการณ์ บางคนอาจจะมีประสบการณ์การรบ ในภารกิจพิเศษของทางกองทัพมาเป็นเวลายาวนานถึง 40 ปีก็มี แต่ก็อย่างว่ายศฐาบรรดาศักดิ์ มันกินไม่ใด้ จะอยู่ทำไม กฎเกฑณ์ก็มากมาย การทำงานก็ต้องรอสายงานสั่งงาน ค่าตอบแทน ที่อาจไม่คุ้มค่าสักเท่าไร เมื่อเทียบกับการทำงานให้กับ "Black Water" ส่งผลให้ทำให้เหล่านักรบผู้กรำศึกและเจนสงครามส่วนหนึ่งได้ให้ความสนใจกับงานรูปแบบนี้ดูบ้าง และก็มีมาเรื่อยๆ จนมากขึ้นๆ

ส่วนอาวุธยุทโธปกรณ์ของพวกเขา ก็นับว่าไม่น้อยหน้ากำลังทหารของกองทัพเลย โดยอาวุธยุทโธปกรณ์ของนักรบ "Black Water" นี้ จะมีหน่วยงานที่คอยจัดหามาให้ และเจ้าตัวก็สามามารถจัดหามาใช้เองก็ได้ตามแต่สะดวกเลย จึงไม่แปลกที่พวกเขาเหล่านี้ ถืออาวุธที่หลากหลายจากทั่วโลก ทั้ง AK-47 ที่ได้รับความไว้วางใจจากสมาชิกหลายคน ก็เพราะเชื่อถือได้สูงในการรบ อึดกว่าทนกว่า แรงกว่า ดิบกว่า ระห่ำกว่า นั้นแหละสไตน์การรบของพวกเขา (ในกรณีลุยนะครับ) อีกทั้งพวกเขาเหล่านี้ สามารถจะตีภารกิจให้แตกได้ ว่าอะไรที่เหมาะกับภารกิจที่กระทำอยู่ หรือจะต้องทำอย่างไร แบบไหนในสถานการณ์นั้นๆ ซึ่งการปฏิบัติภารกิจที่มีความเป็นอิสระในการรบกว่ากำลังที่เป็นหน่วยรบพิเศษของกองทัพเสียอีก อีกอย่างสมาชิกของแบล๊ควอเตอร์นี้ มีทั้งนักแต่งปืน นักดัดแปลงปืนตัวยงอีกด้วย ดังนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องออฟชั่นเลย

โดยอาวุธที่ "Black Water" ใช้นั้น แม้ไม่ใด้ผลิตเอง เพียงแค่นำเอาโลโก้ของ "Black Water" ติดใส่ลงไปเฉยๆ เท่านั้น ซึ่งก็เพื่อเหตุผลด้านความสวยงามเป็นหลัก ดดยต้องมีการขออนุญาติ หรือทำข้อตกลงกับทางบริษัทผู้ผลิตก่อนถึงจะกระทำเช่นนั้นใด้ อย่างเช่น ปืนพกสั้น "sig sauer P226" ลายของ "Blackwater" เป็นต้น

สำหรับภารกิจ หากเป็นแค่การคุ้มกันบุคคลสำคัญ VIP ถ้าในอาคารก็อาจเน้นไปที่ปืนจำพวกปืนกลมืออย่าง MP-5 หรือแบบอื่นๆ ใดก็แล้วแต่พวกเขาเลย เพราะภารกิจแบบนี้ ถ้าจะให้หิ้วเอาปืนกล หรือพวก M249 ในอาคารกับนักการเมือง บุคคลสำคัญๆ มันก็กระไรๆ อยู่ ซึ่งทั้งนี้อาวุธประจำกายของพวกเขาในแต่ละภารกิจที่แตกต่างกัน จึงไม่ได้กำหนดไว้ตายตัว ก็แล้วแต่ว่าภารกิจ จะเป็นภารกิจรูปแบบใด โดยอาวุธมีหลากหลายให้เลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็นปืน M4 ที่ดัดแปลงเป็น CQB นอกจากปืนจากอเมริกาเองแล้ว ก็มีแม้กระทั่ง RPD ของรัสเซีย ทั้งปืนไรเฟิลตระกูลอาก้าแบบต่างๆ ก็ได้ถูกหิ้วไปใช้ในภารกิจให้เห็นกันอยู่บ่อยครั้ง

เรื่องของ "Black Water" นักรบผู้ไม่กลัวตาย บ้าระห่ำ บ้าบิ่น เน้นความเด็ดขาดและรุนแรง การปฏบัติภารกิจให้ลุล่วงคือเป้าหมายที่สำคัญที่สุด ซึ่งหากถามว่า ทำไมพวกเขาจึงปฏิบัติเป็นเช่นที่ว่านี้ คำตอบก็คือ "เม็ดเงินตอบแทนที่คุ้มค่า" คุ้มพอที่จะเสี่ยง เพื่อต่อสู้ให้กับคนที่ไม่รู้จักนั้นเอง "Black Water" ไม่จำเป็นต้องใส่ชุดพราง แต่ถ้าจะใส่ สำหรับ "Black Water" จะไม่ใส่ชุดพรางแบบที่เหมือนกันกับทหารกองทัพ เพื่อแยกแยะออกได้ว่า คนไหนเป็น P.M.C. และก็คนไหนเป็นทหารของกองทัพ ส่วนใหญ่แล้วการจะใส่ชุดว่าจะใส่แบบใด ก็ต้องเหมาะกับภารกิจนั้นๆ ให้มากที่สุด เพื่อเป็นประโยชน์ได้สูงสุดเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ใช่ชุดที่จะใส่เอาเท่เพียงอย่างเดียว ในสนามรบ ความเท่อย่างเดียว ช่วยชีวิตเราไม่ได้ ต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่ได้รับ และคำนึงถึงชีวิตเพื่อร่วมงานด้วย

เสื้อผ้าส่วนใหญ่ที่แบล๊ควอเตอร์มักจะสวมใส่ขณะปฏิบัติการ จะเป็นสีพื้นๆ เป็นเสื้อยืด ไม่ก็เสื้อเชิ้ต เนื้อผ้าใส่สบายๆ แห้งเร็ว และระบายอากาศได้ดี ก็แล้วแต่ว่าสภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ที่นั้นๆ จะเป็นเช่นใรอย่างเช่น ปฏิยัติการในพื้นที่ที่เป็นทะเลทราย ก็จะใส่สีครีมหรือสีทราย ถ้าเป็นในพื้นที่ที่เป็นป่าดงดิบ ก็มักจะใส่สีเขียว OD หรือสีอื้นๆ ที่อยู่ในข่ายเดียวกันนี้ โดยบางภารกิจอาจจะใส่สูทหรือชุดที่เนี๊ยบๆ ถ้าเป็นงานในรูปแบบการ รปภ. ในอาคาร สำหรับ vest หรือ เสื้อเกราะ ทางบริษัทสั่งผลิตขึ้นมาเอง โดยสั่งตามสายงานการผลิตของทางบริษัทชั้นนำที่รับทำชุด vest โดยเฉพาะครับ และใส่โลโก้ลงไป แบบหรูๆ ว่า "Black Water" ซึ่งตัวนึงราคาน่าจะอยู่ที่ที่ 15000 เป็นต้นไปครับ โดยราคานี้ยังไม่รวมแผ่นเหล็กครับ ส่วนกางเกงนั้น จะเป็นกางเกง tactical โดยเฉพาะก็เพราะว่ากางเกงเหล่านี้ ได้ถูกออกแบบมาเพื่อประโยชน์ที่ใช้ใด้สูงสุด เช่น มีช่องใส่มีดพับโดยเฉพาะ มีหูสลิงไว้เกี่ยวของ แห้งเร็ว บางรุ่นก็กันน้ำ เป็นต้น ส่วนใหญ่พวกเขาจะไว้ใจแบรน 5.11 ที่ซึ่งถือเป็นแบรนที่โด่งดังและเป็นที่นิยมแบรนหนึ่ง แต่ถ้าของก๊อบ ก็สนนราคาที่ประมาณ 700-800 ถ้าของจริงก็ 2000 เป็นต้นไปครับ แล้วแต่รุ่น ยี้ห้อ หรือคุณภาพ ที่จะเป็นตัวกำหนดราคามันเอง

ที่สำคัญ Vest ของ Black Water ส่วนใหญ่ จะเป็นเวสที่ผลิตจากจากความร่วมมือกันของบริษัท 3 แห่ง ซึ่งก็คือ Crye Precision, Michael of Oregon และ Blackwater นั่นเอง โดยตัวเวสนั้น ถูกออกแบบโดย Crye Precision ที่ได้ว่าจ้างให้ Michael of Oregon เป็นบริษัทผู้ทำหน้าที่ในการผลิต แต่เดี๋ยวนี้ก็ได้เลิกผลิตแล้ว หันมาเน้นการฝึกด้านบุลคลกรเสียมากกว่า

ส่วนรองเท้าที่ใช้สวมใหญ่กันทั่วไป ทั้งคอมแบท จังเกิ้ล ผ้าใบ บูท สารพัดจะใส่ตามใจอยาก ก็ว่ากันไปตามความเหมาะสมหรือความสะดวกสบายในการใช้งานนั่นเอง และอีกเรื่องที่สำคัญยิ่งก็คือเรื่องของยานพาหนะ สำหรับกำลังของ P.M.C. ไม่สามารถมีรถถัง รถยิงจรวด ปืนใหญ่ และอาวุธหนักเช่นนี้ได้ แต่ทั้งนี้ ก็ได้มีการดัดแปลงเอารถ 4W ยี่ห้อต่างๆ มาปรับแต่ง ดัดแปลง เพิ่มเติมเสริมเอาเขี้ยวเล็บติดอาวุธต่างๆ เข้าไป ก็เพียงพอจะใช้งานได้ในระดับหนึ่ง เพราะรูปแบบการรบที่ส่วนใหญ่ "Black Water" จะเน้น บุกเร็ว รุนแรง เด็ดขาด และจบงานเร็ว ตามแบบฉบับทหารรับจ้าง แต่ทั้งนี้ สำหรับ "Black Water" เอง ก็มีรถลำเลียงพลหุ้มเกราะ กับเฮลิคอปเตอร์ ไว้ใช้งานอีกด้วย แต่ไม่ถึงขั้นของอาวุธหนักแบบของกองทัพ โดยส่วนใหญ่จะมีไว้เพื่อให้การสนับสนุน และภารกิจคุ้มกันเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้มีใช้ในการโจมตีเหมือนของกองทัพ

โดยการทำธุรกิจทหารรับจ้างในอเมริกานั้นเฟื่องฟูอย่างมากในปี 2004 จนกระทั่งสหรัฐเซ็นสัญญาว่าจ้างบริษัท "Black Water" ให้เข้าไปร่วมรบกับทหารของกองทัพที่ประจำการในอิรัก ทำให้บริษัท "Black Water" เป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว โดย "Black Water" เป็นบริษัทเอกชนที่ประกอบกิจการด้านการทหาร หรือ P.M.C หรือรู้จักกันในนามทหารรับจ้างของสหรัฐฯ มีกิจการขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1996 ที่เริ่มต้นจากการเป็นสถานที่ที่ใช้ฝึกทางยุทธวิธีให้กับกำลังพลหรืออดีตกำลังพลของกองทัพ รวมทั้งการฝึกให้พลเรือนทั่วไปที่สนใจ หลังจากที่ได้ก่อตั้งแล้ว ส่วนมากผู้มาสมัครเข้าร่วมจะเป็นอดีตนายทหารหน่วยรบพิเศษที่มีความชำนาญและมีประสบการณ์อยู่แล้ว ที่ซึ่งลาออกจากกองทัพ และก็มีเข้ามาสมัครที่นี่กันเรื่อยๆ จนขีดความสามารถพวกเขา มีประสิทธิภาพที่เยี่ยมยอด เต็มไปด้วยผู้มีฝีมือ แล้วก็ยังมีสนามที่ใช้ิเพื่อทำการฝึก ที่กว้างใหญ่มากๆ มีเนื้อที่ตรงนั้นกว่า 5,200 เอเคอร์ ทั้งนี้ ก็ด้วยความที่เป็นบริษัทของเอกชน ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่า ย่อมมีงบและผู้สนับสนุนที่มากยิ่งเช่นกัน ทำให้ "Black Water" มีแสนยานุภาพทางการรบที่สูงในระดับหนึ่งเลยทีเดียว สำหรับหน่วยกำลังทางอากาศของ "Black Water" มีทั้งเฮลิคอปเตอร์กันชิพ และ ฮ.ลิตเติ้ลเบิร์ด อีกจำนวนหนึ่ง ที่มากพอจะใช้งานเช่นกัน

ต่อไปนี้ เข้าประเด่นเรื่องเม็ดเงินที่เป็นค่าตอบแทนจากการว่าจ้าง ซึ่งมีข้อมูลที่ผ่านมาไม่นานเป็นดังต่อไปนี้ คือ ขณะนี้มีกองกำลังอยู่ประมาณ 20,000 คน ซึ่งเพนตากอนได้เซ็นสัญญา 5 ปี เพื่อให้ไปฝึกแก่กำลังของทัพเรือสหรัฐฯ เป็นเงินราว 37 ล้านเหรียญ และมีรัฐบาลประเทศชิลิ ก็ว่าจ้างให้ไปฝึกให้แก่หน่วยคอมมานโดของชิลี เป็นจำนวนเงิน 21 ล้านเหรียญ และมีอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการรบ การคุ้มกันบุคคล การเฝ้าสถานที่ รปภ.พื้นที่ การจัดสถานที่ รวมทั้งการเข้าเก็บงาน เปิดงาน และอีกมากมายในรูปแบบต่างๆ ที่มีผู้ว่าจ้าง พวกเขาสามารถปฏิบัติภารกิจในแบบที่ผู้ว่าจ้างต้องการได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนเม็ดเงินที่จ่ายให้เป็นรายบุคคลในการรบ ไม่ต้องพูดถึง เพราะมากกว่าเงินเดือนตอนที่เขาอยู่ในกองทัพหลายขุมเลยทีเดียว สามารถเลี้ยงครอบครัวให้อยู่ดีกินดีมีฐานะได้อย่างไร้ปัญหา ทั้งนี้ ถ้ารวมค่าขนม ค่าอาหาร ค่าที่พัก ค่าเบี้ยเลี้ยง ที่จะได้รับนอกเหนือจากเกินก้อนที่จะได้ อาจถึง 1,000 เหรียญต่อวัน

สำหรับแบล๊ควอเอตร์ แม้พวกเขาจะไม่มียศ แต่พวกเขาก็มีเกิยรติ แม้ไม่ได้เป็นทหารของกองทัพ แต่พวกเขาก็เป็นทหารที่สมบูรณ์แบบ แต่ด้วยเหตุผลที่แตกต่าง การกระทำของพวกเขาก็ย่อมแตกต่างออกไปเช่นกัน สิ่งที่กองทัพกระทำไม่ได้ แบล๊ควอเตอร์มักจะทำได้เสมอ และแม้จะไม่ใด้สวมชุดพรางเต็มยศ แต่จิตใจก็มีความเข้มแข็ง จากการสั่งสมประสบการณ์ที่ผ่านมา ถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ จะไม่หลากหลายเท่าของกองทัพ แต่ก็เต็มเปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ และความทันสมัย อีกทั้งยังเพิ่มความสุขในการปฏิบัติงานเพราะอยากใช้ปืนอะไร แต่งตัวแบบไหน ก็แล้วแต่ใจอยาก แต่ทั้งนี้ก็ไม่เกินขอบเขตที่พวกเขาเองก็ถือเอาจรรณญาบรรณการเป็นทหาร ที่ยังต้องรักษาเกียร์ติ และศักดิ์ศรีไว้อยู่ แม้จะถูกตราหน้าว่าเป็นพวกทหารรับจ้างที่ทำเพื่อเงิน แต่ลึกๆ ก็มีสิ่งที่สำคัญกว่าเงินเสียอีก

สำหรับหนึ่งวีรกรรมในอีกหลายๆ วีรกรรม ที่หน่วยนี้กระทำไว้เยี่ยงวีรบุรุษ (ที่แทบจะไม่มีคนรู้ ไม่มีการตีข่าว ไม่มีการออกสื่อใดๆทั้งสิ้น) มาดูว่าวีรกรรมของนักรบรับจ้างนาม "Black Wate" ว่าพวกเขาเหล่านี้ ได้เคยใด้ทำวีรกรรมเสี่ยงตายที่มีนับครั้งไม่ถ้วน แต่ที่เด่นๆ และสมควรจะดังๆ หรือได้รับการยกย่องนั้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ปี 2007 ที่นักบินเฮลิคอปเตอร์แบบโอเอช 6 ลิเติ้ลเบิร์ด ที่ตัดสินใจเสี่ยงชีวิตนำเครื่องร่อนลงกลางถนนในกรุงแบกแดด เพื่อให้การช่วยเหลือแก่เอกอัครราชทูตโปแลนด์ประจำอิรัก ซึ่งท่านถูกลอบโจมตีด้วยระเบิดแสวงเครื่อง หรือ ไออีดี เป็นจำนวน 3 ลูก ท่ามกลางห่ากระสุนของฝ่ายตรงข้ามที่กำลังยิงปะทะกันอย่างดุเดือด จากนั้นก็มีกลุ่มต่อต้านหัวรุนแรง ได้ทำการโจมตีซ้ำอีก แต่สุดท้ายก็ได้รับเอาผู้บาดเจ็บ จนสามารถนำส่งโรงพยาบาลได้ทันท่วงที ทั้งนี้ สำหรับความกล้าหาญและวีรกรรมของนักรบรับจ้างแบล็ควอเตอร์ในครั้งนี้ ได้รับการยกย่องว่า การกระทำในครั้งนั้นเป็นอย่างเยี่ยง “วีรบุรุษ” (Heroic rescue)

แต่ข่าวนี้แทบจะไม่ใด้รับความสนใจจากสื่อมวลชนเลย อีกทั้งยังมีคำกล่าวของผู้สื่อข่าวจากหนังสือพิมพ์เวอร์จิเนียนไพลอทที่กล่าวไว้ว่า หน่วยบินแบล็ควอเตอร์ในอิรักใช้เฮลิคอปเตอร์ลิตเติ้ล เบิร์ด หรือ โอเอช 6 ที่มีขนาดเล็ก คล่องตัว มีพลประจำเครื่อง 4 นาย นักบินและผู้ช่วยอยู่ตอนหน้า ตอนหลังจะเป็นพลประจำเครื่อง 2 นาย ที่มักจะโผล่ออกมาจากตัวเครื่องทั้งสองด้านโดยมีสายรัดตัวกับเครื่องอย่างหลวมๆ มือถือปืนกลแบบ เอ็ม 249 ที่ห้อยติดกับส่วนบนของประตู ใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบที่ฐานสกี สายตาสอดส่ายหาเป้าหมายเบื้องล่างอย่างไม่หวั่นเกรงต่อการโจมตีจากกลุ่มต่อต้านที่อยู่ตามอาคารบ้านเรือน เพื่อปฏิบัติหน้าที่ในการลาดตระเวนทางอากาศหรือคุ้มกันขบวนลำเลียงต่างๆ ทางภาคพื้นดิน ตลอดจนคุ้มกันบุคคลสำคัญที่กำลังเดินทางโดยรถยนต์เบื้องล่าง พวกเขาบินอย่างบ้าบิ่นและรบอย่างกล้าหาญ แต่ไม่มีใครจดจำเรื่องราวของพวกเขาเลย ไม่มีเลย ” แต่สำหรับพวกเขา มันไม่สำคัญนัก

ถ้าว่ากันถึงเรื่อง วีระยำนะครับ เหะๆ จริงๆ มันคือความผิดพลาดที่ ไม่ว่าจะเป็นกองทัพไหน มันก็เกิดขึ้นใด้แหละครับ แต่ก็อย่างว่า ทำดีเป็นอันเสมอตัว ทำชั่วเอาไปคูณ 10 โดยเป็นเหตุหารณ์ขณะคุ้มกันขบวนรถอยู่ในแบกแดดเมื่อปี 2007 โดยที่มีรถตู้คันหนึ่งเร่งความเร็วเข้าใส่ขบวนคุ้มกันที่ "black water" คุ้มกันอยู่ พวกเขาประเคนอาวุธยิงใส่รถนั้นซะพรุน เพราะสงสัยเป็น car bomb ผลคือ คนบริสุทธิ์ชาวอิรักตายไป 17 คน ส่งผลให้ประวัติและชื่อเสียงของ "Black Water" ด่างพร้อยลงไปอย่างมาก จนขึ้นชื่อว่า ธุรกิจเลือด เป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น "Xe" (ซี) ซึ่งนั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเรื่องราวของนักรบรับจ้างนาม "Black Water" ที่ถูกสังคมมองออกเป็นสองมุมมองว่าเป็น “นักรบผู้กล้า” หรือ “ฆาตกรนักฆ่า” แต่ไม่ว่าจะถูกมองในมุมใดก็ตาม กองทัพสหรัฐฯ ก็ยังคงมีการเรียกใช้งานพวกเขาอยู่เสมอๆ

สุดท้ายที่จำกล่าวถึงต่อไปนี้ คือ อีเมล์ที่ถูกส่งโดยนักบิน "Black Water" ซึ่งเป็นอดีตนักบินของกองทัพที่มีประสบการณ์กว่า 40 ปี ได้ถูกยิงตก ส่งไปหาที่บ้านก่อนจะถูกยิงตกในเวลาต่อมา เพียงไม่กี่วัน ว่า "พวกเราทุกคนจะเป็นหน่วยที่มีความรวดเร็วในการตอบโต้ที่รวดเร็วกว่ากองทัพ เพราะกว่าที่กองทัพจะดำเนินการใดๆ พวกเขาต้องรอการอนุมัติตามสายงานการบังคับบัญชา แต่ในแบล๊ควอเตอร์ ใครก็สามารถตัดสินใจตอบโต้ได้ด้วยตัวของเขาเอง มีครั้งหนึ่งในเดือนตุลาคม 2006 ขณะที่ลิตเติ้ลเบิร์ดของเรา 2 ลำ บินลาดตระเวนอยู่เหนือแบกแดดนั้น ก็เห็นรถฮัมวี่ของกองทัพบกถูกโจมตีด้วยระเบิดแสวงเครื่องที่ฝังอยู่ข้างถนน พวกเราไม่เคยรอให้ใครสั่งการหรือขออนุมัติจากใคร ทุกอย่างดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เฮลิคอปเตอร์ของเราลำหนึ่งร่อนลงสู่พื้นทันที เพื่อช่วยเหลือและลำเลียงทหารที่บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล ส่วนเฮลิคอปเตอร์อีกลำ บินวนอยู่เหนือบริเวณดังกล่าวเพื่อคอยให้การคุ้มกัน.. พวกทหารกองทัพที่เห็นพวกเราบนท้องฟ้า มักพูดกันเสมอว่า ไม่มีวันที่พวกเขาจะรับมอบหมายให้ไปทำงานที่เสี่ยงตายแบบไม่มีหลักประกันอย่างนี้เด็ดขาดบนท้องฟ้านั่นแหละคือ พวกเรา Black Water" [THE END]


Chill-Chill ๛` บ า ง ที ก็ เ ล ว `๛


_BoAt

  • Newbie
  • *
    • กระทู้: 99




ภาพ "พลทหาร เฮ็นรี่ แทนดี้" ทหารอังกฤษ ผู้ซึ่งได้เมตตาไว้ชีวิตทหารเยอรมันที่หนึ่งในนั้นชื่อ "ส.ต. อดอร์ฟ ฮิตเลอร์" เมื่อตอนสงครามโลกครั้งที่ 1 และทหารเยอรมันผู้นี้ ต่อมากลายเป็นจอมเผด็จการนาซี ผู้ที่นำโลกไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นเอง.

... "ผมเล็งไป แต่ก็ไม่สามารถยิงคนที่บาดเจ็บอยู่ได้" (I took aim but couldn't shoot a wounded man)" แทนดี้กล่าว "ดังนั้น ผมจึงปล่อยเขาไป (so I let him go.)" และต่อมาเขาก็ได้รู้ว่าหนึ่งในหมู่ทหารเยอรมันที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บนั้น มีผู้หมู่ทหารเยอรมันนายหนึ่งที่ชื่อ "อดอล์ฟ ฮิตเลอร์" รวมอยู่ด้วย

แทนดี้ ได้กล่าวก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในปี 1977 เมื่ออายุ 86 ปี ว่า ... "only I had known what he would turn out to be. When I saw all the people, woman and children, he had killed and wounded I was sorry to God I let him go" ...

ส่วนฮิตเลอร์เองก็ไม่เคยลืมช่วงเวลานั้นหรือผู้ชายคนหนึ่งที่ไว้ชีวิตเขา เมื่อได้เป็นนายกรัฐมนตรีเยอรมันในปี 1933 เขาให้เจ้าหน้าที่ของเขาติดตามหาแทนดี้ โดยได้มีการตีพิมพ์ภาพวาดที่แสดงให้เห็นถึงช่วงที่ Tandey แบกทหารที่ได้รับบาดเจ็บบนหลังของเขา

อันที่จริงฮิตเลอร์นั้นไม่ค่อยอยากที่จะบุกอังกฤษ เพราะมีความชื่นชอบคนอังกฤษและประเทศอังกฤษอยู่เป็นการส่วนตัว ดั่งในหนังสือเรื่อง “การต่อสู้ของข้าพเจ้า” (Mein Kampf) ที่เขาอธิบายชนชาติอังกฤษไว้ว่า “ชนชาติพี่น้องของชาวเยอรมัน”

ฮิตเลอร์นั้นมีความรู้สึกที่ดีต่ออังกฤษเป็นพิเศษ ก็อาจเป็นเพราะว่าเหตุการณ์ที่ว่านี้ ที่คนอังกฤษคนนี้ได้ไว้ชีวิตเขา ขณะที่เขากำลังนำลูกหมู่เดินลาดตะเวนที่หมู่บ้านมาโกแองในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และตอนนั้นได้ ทันใดได้ก็เกิดเสียงระเบิดขึ้น ทุกคนหมอบลง ฮิตเลอร์ซึ่งเป็นหัวหน้าหมู่ในตอนนั้น ได้ลุกขึ้นเพื่อตรวจสอบความเสียหาย แต่สิ่งที่อยู่ต่อหน้าเขาคือทหารอังกฤษนายหนึ่งยืนถือปืนไรเฟิลเล็งมาที่เขาและลูกหมู่ แต่ทหารอังกฤษคนนี้ เห็นว่ามีคนได้รับบาดเจ็บด้วยอีกทั้งฮิตเลอร์ตอนนั้นอาวุธหลุดมือไปตอนระเบิด จึงไม่มีอาวุธในขณะที่ลุกตรวจสอบ เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่า ไม่มีอาวุธ และมีผู้ได้รับบาดเจ็บด้วย จึงปล่อยไป จากนั้น ฮิตเลอร์กล่าวขอบคุณเบาๆ พร้อมรีบพาลูกหมู่ที่บาดเจ็บหนีไปทันที แต่เขาไม่มีวันลืมภาพที่ตรึงตาเขาซึ่งภายหลังได้รู้ว่าผู้นั้นคือ พลทหารอังกฤษที่ชื่อ "เฮ็นรี่ แทนดี้" (Private Henry Tandey) ต่อมาฮิตเลอร์ได้นำเอารูปภาพแทนดี้ที่ไว้ชีวิตเขานี้ แขวนไว้ในห้องทำงานส่วนตัวของเขาอีกด้วย

แต่ความจำเป็นต้องบุกอังกฤษและต้องกำจัดให้ได้ก่อน เพราะอังกฤษนั้นยังถือว่าเป็นภัยในการบุกยึดยุโรปและรัสเซียของเขาแล้วค่อยปรับแนวรบไปยังรัสเซีย โดยไม่ต้องกังวลว่ารัสเซียจะเข้ามาทำศึกด้วยเพราะว่าได้มี “สนธิสัญญาไม่รุกรานซึ่งกันและกัน” (A Mutual Non-Aggression Pact) กับรัสเซียไว้แล้ว ตั้งแต่ 23 สิงหาคม 1939 ฮิตเลอร์จึงสามารถบุกเกาะอังกฤษเสียแต่โดยดี


Chill-Chill ๛` บ า ง ที ก็ เ ล ว `๛


_BoAt

  • Newbie
  • *
    • กระทู้: 99



ปฏิทินประวัติศาสตร์ชาตินิยมเรื่องธงชาติ
14 กันยายน   พ.ศ. 2485 (ค.ศ. 1942)
วันแรกที่มีการกำหนดให้ยืนเคารพธงชาติ เวลา 8.00 น. และ 18.00 น.

จุดเริ่มต้นยืนเคารพธงชาติไทย
2477 เป็นปีที่ประเทศไทยมีเพลงชาติเป็นครั้งแรก ซึ่งในขณะนั้นยังใช้ชื่อว่า เพลงชาติสยาม และอีก 5 ปีต่อมา คือปี 2482 ก็เปลี่ยนเป็นเพลงชาติไทย
ขณะที่ปี 2478 ราชการได้ประกาศกฎหมายให้ประชาชนยืนเคารพธงชาติในเวลา 8.00 น. และ 18.00 น. แต่กฎหมายไม่ได้รับความนิยมและไม่มีการปฎิบัติอย่างแพร่หลาย

ในวิทยานิพนธ์หลักสูตรปริญญาอักษรศาสตร์มหาบัณฑิต เรื่องธงไตรรงค์กับการสร้างอุดมการณ์รัฐไทย พ.ศ. 2459 - 2520 ของชนิดา พรหมพยัคฆ์-เผือกสม สาขาวิชาประวัติศาสตร์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เล่าถึงจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้กฎหมายนี้ถูกบังคับใช้อย่างแพร่หลาย
จุดเปลี่ยนสำคัญคือ รายการวิทยุประเภทสนทนา ระหว่างนายมั่น และนายคง หนึ่งในเครื่องมือการโฆษณาแนวคิดรัฐนิยมของจอมพลป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น
รายการนายมั่น นายคง เกิดขึ้น เมื่อรัฐบาลประกาศให้วันที่ 24 มิถุนายน เป็นวันชาติและมีการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ในปี 2482 รายการจัดทำขึ้นเพื่อชี้แจงและโฆษณานโยบายของรัฐบาล รวมถึงการประดับและแสดงความเคารพต่อธงชาติไทยด้วย

หนึ่งในบทสนทนาระหว่างนายมั่นและนายคง ช่วงก่อนถึงวันชาติ ในปี 2485 คือ
"เวลา ๘.๐๐ น. เปนเวลาชักทงชาติขึ้นสู่เสาทั่วราชอานาจักร เวลานี้แหละเปนเวลาสำคันที่สุดประจำวันของเรา กรมโคสนาการได้ประกาสเชินชวนข้าราชการและประชาชนไนที่ทุกแห่งไปยืนนิ่งระวังตรง เพื่อสแดงความเคารพต่อทงชาติไทยเปนเวลา ๕ วินาที หรือจนกว่าการบันเลงเพลงชาติโดยทางวิทยุกะจายเสียงจะได้จบลง หรือจนกว่าสัญญานอื่นๆ ไนการชักทงชาติได้จบลง"

ซึ่งรายการนี้ ได้นัดหมายประชาชนให้ยืนตรงเคารพธงชาติพร้อมกัน ในวันที่ 14 กันยายน 2485 เป็นวันแรก พร้อมกล่าวในรายการว่า
"เมื่อเช้านี้ เท่ากับเราได้เปิดฉากไหม่ของชีวิตชาติไทยอีกด้านหนึ่ง คือการเคารพทงชาติ ซึ่งเปนด้านสำคันมาก เพราะเปนการรวมจิตไจของคนทั้งชาติเข้าด้วยกัน รวมจิตไจของคนทั้งชาติเข้าสู่ความเปนเอกราชของชาติ และเกียรติอันสูงสุดของชาติที่รวมหยู่ที่ทงชาติไทย แม้การนี้จะได้นัดแนะกันล่วงหน้าไม่กี่วันก็ตาม แต่ได้ผลส่วนรวมเปนที่น่ายินดีมาก เท่าที่ฉันได้ยินได้ฟังจากบุคคลที่หยู่ไนสถานที่ต่างๆ กัน จะยังมีบกพร่องกันบ้างเล็กน้อยนั้น เข้าไจว่าคงเกิดจากยังไม่เข้าไจกันดี"

ในวันรุ่งขึ้น จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้กล่าวกับประชาชนผ่านทางวิทยุกระจายเสียง สรุปใจความสำคัญได้ว่า การเคารพธงชาติทำให้จอมพลป. "มีความรู้สึกสบายไจ" และพบความเป็นไทยมากขึ้น พร้อมกับย้ำว่า เรื่องนี้ เป็นเรื่องใหญ่ ที่น้ำตานองหน้ากันได้ทั้งชาติเลยทีเดียว พร้อมประณามผู้ไม่เคารพธงชาติอย่างรุนแรงว่าเป็นผู้คิดทรยศต่อชาติ เท่ากับการด่าพ่อแม่ ครูอาจารย์ และพระพุทธเจ้าเลยทีเดียว เนื่องจากธงชาติไทย มีบารมีของพระพุทธเจ้าและเป็นตัวแทนของศาสนา

การยืนเคารพธงชาติ ในเวลา 8.00 น. และ 18.00 น. ในปัจจุบัน ยังเป็นไปตามพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ 2485 และพระราชกฤษฎีกากำหนดวัฒนธรรมแห่งชาติ 2485


Chill-Chill ๛` บ า ง ที ก็ เ ล ว `๛


_BoAt

  • Newbie
  • *
    • กระทู้: 99



เครื่องบินขับไล่ "F-86F Sabre" (บ.ข.๑๗) แห่ง ท.อ.ไทย

เครื่องบินขับไล่แบบ F-86 Sabre ได้มีการใช้เป็นกำลังรบหลักทางอากาศของกองทัพสหรัฐฯ และกองกำลังสหประชาชาติในสงครามเกาหลี โดยการรบทางอากาศในสงครามเกาหลี จากสถติที่บันทึกไว้ F-86 Sabre สามารถยิงเครื่อง Mig-15 ตกได้ในอัตรา 13-14 : 1 ก็คือ F-86 1 ลำ ที่ถูก Mig-15 ยิงตก F-86 จะสามารถยิง Mig-15 ตกได้ถึง 13-14 ลำ ในสงครามเกาหลีเครื่องบิน F-86 ของกองทัพอเมริกันนั้นถือว่าสามารถที่จะยิงเครื่องบินรบทุกประเภททั้งของเกาหลีเหนือ จีน และโซเวียต ตกได้กว่า 792 ลำ โดยสูญเสีย F-86 จากการรบนี้ไปแค่ 78 ลำ เพราะความสามารถของนักบินที่ต่างกันมากระหว่างนักบินอเมริกันกับนักบินจีน และเกาหลีเหนือ ที่มักจะเป็นนักบินที่ได้รับการฝึกมาประมาณพอบินได้แล้วก็ถูกส่งเข้าสู่สนามรบเลย อีกอย่างการที่เครื่องบินรบ Mig-15 พ่ายแพ้ F-86 นั้น ไม่ไช่เพราะเครื่องบิน F-86 มีความเหนือกว่าประการใด แต่เพราะ นักบินอเมริกันส่วนใหญ่มีชั่วโมงบิน และความสามารถเฉพาะตัวที่เหนือกว่า โดยรู้ว่าจุดอ่อนของ Mig-15 อยู่ที่เพดานบินที่สูงๆ ด้วยความเร็วสูงเครื่อง Mig-15 นั้นจะควบคุมได้ยาก ณ ตอนนั้น

{คุณลักษณะของเครื่องบินขับไล่แบบ ๑๗ (F-86F Sabre)} ..

- [ประเภท] : เครื่องบินขับไล่-ทิ้งระเบิด ๑ ที่นั่ง
- [ผู้สร้าง] : บริษัท นอร์ธอเมริกัน ประเทศสหรัฐอเมริกา
- [เครื่องยนต์] : J47-GE-27 Turbojet ให้แรงขับ ๕,๙๑๐ ปอนด์ จำนวน ๑ เครื่องยนต์
- [กางปีก] : ๓๗ ฟุต ๑ นิ้ว
- [ความยาว] : ๓๗ ฟุต ๖ นิ้ว
- [ความสูง] : ๑๔ ฟุต ๘ นิ้ว
- [น้ำหนักรวมสูงสุด] : ๑๗,๐๐๐ ปอนด์
- [อัตราเร็วสูงสุด] : 610 ไมล์/ชม. ที่ความสูง 35,000 ฟุต
- [อัตราไต่] : 9,200 ฟุต/นาที
- [เพดานบิน] : 50,000 ฟุต
- [พิสัยบิน] : 785 ไมล์ (เมื่อใช้ถังเชื้อเพลิงปลดทิ้งได้ขนาด 120 แกลลอน 2 ถัง)
- [อาวุธ] : ปืนกลอากาศแบบ M-3 ขนาด .50 จำนวน 6 กระบอก ลูกระเบิดทำลายหนัก 250 - 1,000 ปอนด์ หรือ ลูกระเบิดนาปาล์มหนัก 750 ปอนด์ 1 ลูก หรือลูกระเบิดสังหาร 18 ลูก พร้อมทั้งแผงระเบิดหนัก 540 ปอนด์ หรือจรวดยิงขนาด 5 นิ้ว จำนวน 16 ลูก

สำหรับ F-86F นี้ สหรัฐฯ ได้ส่ง F-86F-1-NA Serial No.51-2909 มาให้ เพื่อให้กองทัพอากาศไทยใช้ฝึกศึกษาและเรียนรู้สมรรถนะและระบบการทำงานต่างๆ ก่อนที่จะมีการส่งมอบเครื่องบิน F-86F หรือ North American F-86F-30/40 Sabre มาให้กองทัพอากาศไทย และได้ประจำการ F-86F ที่รับมอบนี้เป็นจำนวน ๔๕ เครื่อง และกำหนดชื่อเป็น บ.ข.๑๗ โดยขณะนั้นที่ตั้งของกองบิน 1 ยังตั้งอยู่ที่สนามบินดอนเมือง ก่อนที่จะย้ายไปยัง จ.นครราชสีมา เมื่อ 24 พฤษภาคม 2519 ซึ่ง บข. 17 นี้ ซึ่งนับได้ว่าเป็นเครื่องบินขับไล่แบบแรกของไทยที่ก้าวสู่ยุคจรวดนำวิถี จรวดมิสไซด์ ด้วย

โดยบทบาทที่สำคัญของ F-86F ของกองทัพอากาศไทยนั้น เกิดขึ้นในช่วงปี 2504-2505 จากกรณีพิพาทปราสาทเขาพระวิหารกับเขมรนั่นเอง โดย F-86F ได้มีโอกาสที่จะเข้าต่อสู้กับ MiG-17 ของทัพฟ้าเขมร แต่สุดท้ายนักบินเขมรนั้น ได้บินเลี้ยวและบินหนีกลับประเทศไป และก็มีอีกหลายเหตุการณ์ที่ได้ใช้ปกป้องชาติไทย ซึ่งฝูงบิน 43 กองบิน 4 ตาคลี นั้นเป็นฝูงบินสุดท้ายที่ใช้งานเครื่องบิน F-86F หรือ บ.ข.17

โดยหลังจากที่ไทยได้ส่งหน่วยบินลำเลียงออกไปร่วมปฏิบัติการกรณีสงครามเกาหลีแล้ว อเมริกาก็ได้ให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ไทยด้วย และกองทัพอากาศก็ได้รับความช่วยเหลือทั้ง เครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ รวมทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ เครื่องบินที่ได้รับความช่วยเหลือรุ่นแรกๆ ก็คือ เครื่องบินขับไล่แบบ ๑๕ (F-8F Bear Cat) จำนวน 204 เครื่อง ได้รับมอบในเดือนกันยายน พ.ศ.๒๔๙๔ ตามด้วย บฝ.11 เมื่อกองทัพอากาศเริ่มก้าวเข้าสู่ยุคเครื่องบินไอพ่น ในปี ๒๔๙๘ สหรัฐอเมริกาก็ได้มอบเครื่องบินฝึก แบบ ที-๓๓ (Lockhead T-33A) ที่เป็นเครื่องบินฝึกไอพ่น ๒ ที่นั่ง ให้แก่ไทย ซึ่งได้กำหนดชื่อว่า "บ.ฝ.๑๑" (เครื่องบินฝึกแบบที่ ๑๑)

และปีถัดมาก็ได้รับมอบ บ.ข.16 (F-84G ธันเดอร์เจ็ต) เป็นเครื่องบินเจ็ตขับไล่แบบแรกของไทยกองทัพอากาศ ซึ่งไทยได้มีรับมาเป็นจำนวนหนึ่งจากอเมริกาในปลายปี 2499 โดยหลักๆ ใช้เป็นเป็นเครื่องบินขับไล่-ทิ้งระเบิด และถัดจาก บข.16 คือ เครื่องบินขับไล่แบบ 17 (บข.17 หรือ F-86F Sabre) ซึ่งประจำการช่วง ๒๕๐๔ – ๒๕๑๕ ได้รับ 45 เครื่อง ซึ่งจากนั้นก็ได้รับมอบมาอีกเรื่อยๆ

ถัดมาปี ๒๕๐๖ ด้รับรุ่นที่ปรับปรุงให้สมรรถนะสูงขึ้น ก็คือ บข.17ก (F86L Sabre Dog) เป็นรุ่นที่ติดตั้งเรดาร์อีก 17 เครื่อง แต่ประจำการได้ไม่นานก็ปลดประจำการในปี 2509 โดยกองทัพอากาศไทย ได้ประจำการเคื่องบินรบ F-86F/L Sabre นี้ ครั้งแรกในปี 1961 โดยกองทัพอากาศไทยมี F-86 ทั้งรุ่น F และ L จำนวนทั้งสิ้น 74 ลำ โดยประจำการตั้งแต่ปี 1961 - 1972 ซึ่งถือได้ว่าเป็นเครื่องบินรบปีกลู่ไปด้านหลังแบบแรกของกองทัพอากาศไทยด้วย ก่อนต่อมาจะถูกทดแทนด้วยเครื่องบินรบแบบ F-5A Freedom Fighter หรือ บข. 18 โดย F-86F/L นั้นถือได้ว่าเป็นเครื่องบินไอพ่นที่มีความทันสมัยสูงมากในยุค 1960 มีระบบเครื่องยนต์ ระบบเรดาห์ และมีสมรรถนะทางการบินสูง และระบบอาวุธที่ยอดเยี่ยมมาก


Chill-Chill ๛` บ า ง ที ก็ เ ล ว `๛


_BoAt

  • Newbie
  • *
    • กระทู้: 99




"จงอางศึก" และ "กองพลเสือดำ" ในสงครามเวียดนาม

“จงอางศึก” (Queen’s Cobra) เป็นทหารไทยหน่วยแรกที่ได้รับปืนเล็กยาว M-16A1 (ขนาด 5.56x45 NATO หรือ .223 Remington) และใช้เป็นอาวุธประจำกายแบบใหม่ทดแทนปืนเล็ยาวแบบ 88 (M-1 Garand .30-06) และจากนั้น Queen’s Cobra เป็นกำลังรบหน่วยแรกของกองทัพบกไทยที่ปฏิบัติการรบในสงครามเวียดนาม สืบเนื่องจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ ส่งกำลังทหารเข้าปฏิบัติการสู้รบกับเวียดกงในเวียดนามใต้ พร้อมกำลังทหารพันธมิตร 6 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สเปน ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ และไทย

สงครามเวียดนามเริ่มนับแต่นั้นมาในส่วนของไทย ทั้งนี้ คณะรัฐบาลไทยได้ลงมติ อนุมัติหลักการการให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่รัฐบาลสาธารณรัฐเวียดนาม โดยจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจ เรียกว่า “กรมทหารอาสาสมัคร” หรือ อสส. โดยมีภารกิจรบเป็นหลัก ภารกิจการช่วยเหลือเป็นรอง ถือเป็นกองกำลังทหารไทยหน่วยแรกที่ปฏิบัติการรบในเวียดนาม ซึ่งกองกำลังนี้ได้สมญานามว่า “จงอางศึก”

กองกำลังจงอางศึก – Queen’s Cobra เป็นกำลังรบหน่วยแรกของกองทัพบกไทยที่ไปปฏิบัติการรบในสงครามเวียดนาม กองกำลังนี้ได้สร้างวีรกรรมอย่างมากมาย สำหรับการรบครั้งสำคัญ คือ "การรบที่ฟุกโถ" เมื่อวันที่ ๒๐–๒๑ ธันวาคม ๒๕๑๐ โดยในคืนวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๑๐ เวลาประมาณ ๒๒.๐๐ น. นี้ ขณะกำลังพลประมาณ ๙๐ นาย กำลังตั้งฐานปฏิบัติการควบคุมเส้นทางถนนสายสมเกียรติ (สาย ๓๑๙) ซึ่งเป็นถนนยุทธศาสตร์สำคัญ เพื่อป้องกันมิให้ฝ่ายเวียดกงใช้เป็นเส้นทางการส่งกำลังบำรุง และป้องกันมิให้เข้าไปมีอิทธิพลในหมู่บ้านฟุกโถด้วย

ขณะนั้นได้ปรากฎว่า ฝ่ายเวียดกงได้ส่งกำลังจำนวน ๑ กองพัน และกองโจรอีกจำนวนหนึ่งบุกเข้าโจมตีฐานปฏิบัติการของไทย เวียดกงเริ่มการโจมตีโดยใช้เครื่องยิงลูกระเบิดยิงปืนใหญ่ ซึ่งอยู่ห่างจากฐานของ กองร้อยอาวุธเบาที่ ๑ ไปทางตะวันตกประมาณ ๓.๕ กม. เพื่อตรึงมิให้ปืนใหญ่ไทยยิงสนับสนุนกองร้อยอาวุธเบาที่ ๑ และได้ระดมยิงฐานที่ตั้งของกองร้อยอาวุธเบาที่ ๑ อย่างรุนแรง หลังจากนั้นข้าศึกได้ส่งทหารราบ บุกเข้าโจมตีรอบฐานของกองร้อยอาวุธเบาที่ ๑ รวม ๓ ทิศทางคือ ทิศตะวันตก ตะวันตกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงใต้ ฝ่ายไทยได้ใช้อาวุธทุกชนิดที่มีเข้าต่อสู้ ผลักดันการเข้าตีของข้าศึก

แต่เนื่องจากข้าศึกมีจำนวนมากกว่า จึงสามารถฝ่าแนวลวดหนามเข้ามาได้ มีการต่อสู้ถึงขั้นตะลุมบอนด้วยดาบปลายปืนทหารไทยตอบโต้อย่างรุนแรงตลอดเวลา โดยไม่ยอมผละจากที่มั่น ระหว่างนั้นปืนใหญ่ และเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธของฝ่ายพันธมิตร ก็ได้มีการพยายามยิงสนับสนุนให้อยู่ตลอดเวลา การรบได้ดำเนินมาจนถึงเวลาประมาณ ๐๓.๐๐ น. ของวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๑๐ ฝ่ายข้าศึกเห็นว่า ไม่สามารถยึดที่มั่นของไทยได้แล้ว จึงเริ่มถอยและถอนกำลังกลับไป การรบได้ยุติลงเมื่อประมาณ ๐๕.๓๐ น. ของวันที่ ๒๑ ธันวาคม ปี ๒๕๑๐

ผลการรบก็คือ กองกำลังทหารไทยเป็นฝ่ายได้ชัยชนะ สามารถสังหารทหารเวียดกงได้ ๑๘๕ ศพ บาดเจ็บ ๘๐ คน และจับเป็นเชลยได้ ๒ คน พร้อมยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ได้จำนวนมาก ส่วนทหารไทยนั้นเสียชีวิต ๘ นาย บาดเจ็บสาหัส ๒๓ นาย และบาดเจ็บเล็กน้อย ๔๘ นาย การปฏิบัติการครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความสามารถ และความกล้าหาญของกองกำลังทหารไทยต่อสายตาชาวโลก อันได้นำมาซึ่งเกียรติประวัติ ชื่อเสียง จนเป็นที่เลื่องลือและประจักษ์ต่อานานาประเทศ

โดยหลังจากที่กรมทหารอาสาสมัครเดินทางไปรบในสาธารณรัฐเวียดนามเป็นเวลา 1 ปี กองทัพบกก็ได้มอบให้คณะกรรมการพิจารณาเพื่อเตรียมการส่งกำลังไปผลัดเปลี่ยนกรมทหารอาสาสมัครเพิ่มขึ้นอีกเป็น 1 กองพลทหารอาสาสมัคร และเมื่อวันที่ 14 มกราคม พ.ศ.2511 ก็ได้มีคำสั่งจัดตั้ง “กองพลทหารอาสาสมัคร” อีก บรรจุมอบเป็นหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก มีที่ตั้งปกติ ณ ค่ายกาญจนบุรี ต.ลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี และได้ไปปฏิบัติการรบในสงครามเวียดนาม โดยมีสมญานามว่า “กองพลเสือดำ” นั่นเอง

สำหรับ "กองพลเสือดำ" (PANTHERS) เป็นกำลังทหารไทยที่เข้าประจำการที่เวียดนาม ต่อจากกองกำลังจงอางศึก ซึ่งเมื่อเดินทางไปปฏิบัติการในสาธารณรัฐเวียดนาม จะอยู่ในความควบคุมทางยุทธการของกองทัพสนามที่ ๒ สหรัฐอเมริกา และมีสมญาเป็นที่รู้จักกันในนาม "กองพลเสือดำ" (PANTHERS) ซึ่งกองพลทหารอาสาสมัคร ผลัดที่ ๑ นี้ ได้มีการรบครั้งสำคัญๆ ได้แก่ การรบที่บินห์สัน การรบที่เฟือกกาง การรบที่ล็อกแอน ยุทธการอัศวิน ยุทธการวูล์ฟแพค ยุทธการเบ็นแคม เป็นต้น

ส่วนกองพลทหารอาสาสมัคร ผลัดที่ ๒ ได้ปฏิบัติการครั้งสำคัญๆ หลายครั้ง ได้แก่การรบในยุทธการมิตรภาพ ยุทธการฟูหอย ยุทธการไทยเทียน ยุทธการบางปู การรบตามแผนยุทธการ ๒๓๔ ยุทธการซุยคา ยุทธการคีย์แมน ยุทธการสายฟ้าแลบ เป็นต้น ส่วนการรบในครั้งสำคัญๆ ของกองทหารอาสาสมัคร ผลัดที่ ๓ นั้นก็ได้แก่ การปฏิบัติตามแผนยุทธการ Yellow Jacket และ แผนยุทธการ Task Force THAIAM

และเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2514 กองทัพบกได้ออกคำสั่งตั้งกองพลขึ้นที่ ต.ลาดหญ้านั้น และทำการแปรสภาพกองพลทหารอาสาสมัคร กองพลเสือดำ เป็น “กองพลที่ 9″ ในวาระครบรอบปีที่ 24 แห่งวันรัชดาภิเษกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ.2517


Chill-Chill ๛` บ า ง ที ก็ เ ล ว `๛


_BoAt

  • Newbie
  • *
    • กระทู้: 99



หน่วยจักรยานยนต์ กองทัพแคนาดา ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2..


Chill-Chill ๛` บ า ง ที ก็ เ ล ว `๛


_BoAt

  • Newbie
  • *
    • กระทู้: 99



quote]เพื่อไม่ให้ชาวซีเรียฆ่ากันเอง ดังนั้น อเมริกันจึงยื่นมือเข้าช่วย !!![/quote]


Chill-Chill ๛` บ า ง ที ก็ เ ล ว `๛


_BoAt

  • Newbie
  • *
    • กระทู้: 99


ซีเรีย ณ ปัจจุบัน


Chill-Chill ๛` บ า ง ที ก็ เ ล ว `๛


_BoAt

  • Newbie
  • *
    • กระทู้: 99



ฝันดีครับ ค่ำคืนนี้กับภาพ Nuclear warfare-สงครามนิวเคลียร์


Chill-Chill ๛` บ า ง ที ก็ เ ล ว `๛


_BoAt

  • Newbie
  • *
    • กระทู้: 99



ไม่ใช่คนแอฟริกา ไม่ได้อยู่แอฟริกา แต่พวกเขาคือ ซาไก
ชนเผ่าทางภาคใต้ ของประเทศไทย

ซาไก เป็นมนุษย์โบราณอาจจะที่มีมาตั้งแต่สมัยยุคหิน ประมาณ 1,500 – 10,000 ปีมาแล้ว รูปร่างเตี้ยมีผิวดำ ฝีปากหนา ท้องป่อง น่องสั้นเรียว ผมหยิกเป็นก้นหอยติดศีรษะ ชาติพันธุ์นิกรอยด์ หรือเนกริโต ตระกูลออสโตร-เอเชียติก อยู่กระจายกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ

สำหรับในภาคใต้ของประเทศไทยมีซาไกอยู่สี่กลุ่ม คือ

ซาไกกันซิว อยู่ในอำเภอธารโต จังหวัดยะลา
ซาไกยะฮาย อยู่ในอำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส
ซาไกแตะเดะหรือเยแด อยู่ บริเวณภูเขาสันกาลาคีรีแถบจังหวัดยะลาและอำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส
ซาไกแต็นเอ็น อยู่บริเวณเขาบรรทัดแถบคลองตง คลองหินแดง บ้านเจ้าพะและถ้ำเขาเขียด อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง(ประมาณ 100 คน) จังหวัดพัทลุงและจังหวัดสตูล

ซาไกที่อาศัยอยู่ที่อำเภอธารโต จังหวัดยะลา ได้รับพระราชทานนามสกุลจากสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี โดยใช้ชื่อสกุลว่า "ศรีธารโต"


Chill-Chill ๛` บ า ง ที ก็ เ ล ว `๛


_BoAt

  • Newbie
  • *
    • กระทู้: 99



[ภาพ] : หมู่บิน Arrow head 6 ผบ.สส. และ ผบ.ทอ. บิน Gripen จาก บน.6 มี F-5 2 เครื่อง และ F16 ในหมู่บิน ในวันพิธีรับมอบเครื่องบินกริพเพนเข้าประจําการ เมื่อ ๑๑ ก.ย.ที่ผ่านมา..

กองทัพอากาศทำพิธีบรรจุ บข.20 เข้าประจําการระบบป้องกันทางอากาศแบบบูรณาการ Gripen Integrated Air Defense System

วันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๖ เวลา ๐๙.๓๐ น. พลอากาศเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานในพิธีบรรจุเข้าประจําการระบบป้องกันทางอากาศแบบบูรณาการ Gripen Integrated Air Defense System โดยมี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ ให้การต้อนรับ ณ กองบิน ๗ จังหวัดสุราษฎร์ธานี

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารอากาศ ได้ร่วมทําการบินเครื่องบินขับไล่แบบที่ ๒๐ ก (GRIPEN 39 D) จากกองบิน ๖ ไปเข้าร่วมพิธี ที่กองบิน ๗ โดยในพิธีบรรจุเข้าประจําการระบบป้องกันทางอากาศแบบบูรณาการ Gripen Integrated Air Defense System

ในครั้งนี้ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด จะทําพิธีคล้องพวงมาลัยให้กับเครื่องบินขับไล่แบบที่ ๒๐ (GRIPEN 39 C) จํานวน ๖ เครื่อง เครื่องบินควบคุมและแจ้งเตือนแบบที่ ๑ (SAAB 340 AEW) จํานวน ๑ เครื่อง และเครื่องบินลําเลียงแบบที่ ๑๗ (SAAB 340
จํานวน ๑ เครื่อง ซึ่งจะทําให้กองทัพอากาศสามารถปฏิบัติภารกิจในการปกป้องน่านฟ้าไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงขีปนาวุธยิงเรือรบ แบบ RB15 F และ Iris-T

กองทัพอากาศ รับมอบกริพเพ่น 3 ลำ สุดท้าย เข้าประจำการครบฝูงบินแล้ว เพื่อเสริมเขี้ยวเล็บระบบป้องกันทางอากาศแบบบูรณาการ พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พร้อมด้วย พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ ออกเดินทางจากกองบิน 6 ดอนเมือง ด้วยเครื่องบินกริพเพ่น ที่จัดหมู่บินเกียรติยศร่วมกับเครื่องบินเอฟ 16 และ เอฟ 5 มายังกองบิน 7 จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อทำพิธีบรรจุเครื่องบินขับไล่ไอพ่น กริพเพ่น เข้าประจำการระบบป้องกันทางอากาศแบบบูรณาการ แทนเครื่องบินขับไล่ไอพ่น เอฟ 5 ที่จะย้ายไปรวมฝูงบิน 211 กองบิน 21 จังหวัดอุบลราชธานี และบางส่วนจะต้องปลดประจำการเพราะใช้ในราชการมานานมากแล้ว

สำหรับระบบป้องกันทางอากาศแบบบูรณาการนี้ ทังกัดกองบิน 7 ฝูง 701 ประกอบด้วย เครื่องบินขับไล่อเนกประสงค์ กริพเพ่น 12 ลำ เครื่องบินควบคุม และแจ้งเตือนทางอากาศแบบ Saab 340 AEW จำนวน 2 ลำ และ เครื่องบินลำเลียงแบบ Saab 340 B จำนวน 2 ลำ

ทั้งหมดนี้เป็นโครงการขนาดใหญ่ของกองทัพอากาศ ที่มีการจัดสรรงบประมาณผูกพันแบ่งเป็น 2 ระยะตามมติคณะรัฐมนตรีในปี 2550 ที่นำมาทดแทนเครื่องบินเอฟ 5 จำนวน 6 ลำ พร้อมอุปกรณ์ อะไหล่ การฝึกอบรม การปรับปรุงอาคารสถานที่ ในงบประมาณผูกพันปี 2551 ถึง 2555 ในวงเงิน 19,000 ล้านบาท และอีก 6 ลำ ในงบประมาณผูกพันปี 2554 ถึง 2558 วงเงิน 16,266 ล้านบาท พร้อมกันนี้ สวีเดนได้มอบระบบควบคุมและแจ้งเตือน Saab 340 AEW และเครื่องบินลำเลียง Saab 340 B ร่วมมาด้วย

การจัดหาครั้งนี้ นับว่ากองทัพอากาศได้เครื่องบินรบใหม่แกะกล่องถอดด้าม สมรรถนะเกือบเทียบชั้น เอฟ 22 แต่เหนือกว่า เอฟ 16 แต่เมื่อประเทศมีเอฟ 16 ประจำฝูง จึงสามารถสอดประสานงานในการป้องกันประเทศได้รอบน่านฟ้าไทย จนไปถึงการร่วมกับเหล่าทัพอื่น รวมทั้งมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย พัฒนาต่อเนื่องในอนาคต เป็นพื้นฐานพัฒนากองทัพอากาศด้านต่างๆ ไปจนถึงการพัฒนาระบบบัญชาการและควบคุม การแจ้งเตือน เหมาะกับสภาพภูมิยุทธศาสตร์ในภาคใต้

แม้จะไม่เต็มอัตราฝูงขับไล่ 18 ลำ (ขาดอีก 6 ลำ) ซึ่งยังต้องใช้งบประมาณอีร่วม 1.6 หมื่นล้านบาท แต่ด้วยเครื่องบินควบคุม และแจ้งเตือนทางอากาศแบบ Saab 340 AEW จำนวน 2 ลำ กองทัพอากาศก็มีขีดความสามารถในการครองอากาศในพื้นที่ภาคใต้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามันได้อย่างสมบูรณ์


Chill-Chill ๛` บ า ง ที ก็ เ ล ว `๛


_BoAt

  • Newbie
  • *
    • กระทู้: 99



["โรเบิร์ต คาปา"(Robert Capa) : ตำนานแห่งช่างภาพสงคราม]

โรเบิร์ต คาปา ( Robert Capa ) เคยกล่าวว่า " If your pictures aren't good enough, you're not close enough" .. ("หากภาพของคุณยังไม่ดีพอ แสดงว่าคุณยังเข้าใกล้เหตุการณ์ไม่มากพอ" คำพูดที่เรียบง่ายเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะปฏิบัติ คงไม่มีใครกระโจนเข้าหาความตายในขณะที่คนอื่นกำลังวิ่งหนี แต่ช่างภาพสงครามเหล่านี้ทำอย่างที่พูดจริงๆ") โดยมี "เกอด้า ทาโร" (Gerda Taro) ร่วมกับ "อองเดร ฟรีแมน" (Endre Friedmann) ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดช่างภาพในตำนานที่ชื่อ "โรเบิร์ต คาปา" (Robert Capa) นั่นเอง

"เกอด้า ทาโร" (Gerda Taro) เดิมมีชื่อ "Gerta Pohorylle" เป็นชาวเยอรมันที่มีเชื้อสายยิว เป็นนักเคลื่อนไหวทางสังคมการเมือง ต่อต้านลัทธินาซีและถูกหมายหัวจากรัฐบาลเยอรมัน ครอบครัวของเธอต้องลี้ภัยการเมืองหลบหนีกระจัดกระจายไปคนละทิศทาง และไม่เคยได้กลับมาพบกันอีกเลย ตัวเธอนั้นหนีมาประเทศฝรั่งเศสในปี 1934 และได้พบกับช่างภาพชาวฮังกาเรี่ยนชื่อ "อองเดร ฟรีแมน" (Endre Friedmann) ซึ่งต่อมาเขาคนนี้ หรือกล่าวอีกอย่างว่าเขาทั้งสองคนนี้ ที่ต่อมากลายเป็นช่างภาพอีกคนหนึ่งชื่อ "โรเบิร์ต คาปา" (Robert Capa) นั่นเอง แต่ทว่าในตอนนี้แล้วนั้น "โรเบิร์ต คาปา" ยังไม่มีตัวตน เป็นเพียงตัวตนที่ทั้งสองสมมุติขึ้นเท่านั้น

โดย "เกอด้า ทาโร" ได้ใช้ชีวิตร่วมกับ "อองเดร ฟรีแมน " และทำงานการถ่ายภาพร่วมกัน เกอด้าเธอเป็นสาวสวย หัวรุนแรง ส่วนอองเดรเป็นผู้ชายหน้าตาดีที่มีชีวิตอิสระ ทั้งสองคนเผชิญกับโลกที่ต้องแข่งขันอย่างสูง การงานในยุโรปเหลือน้อยลงไปเรื่อยๆ ขณะที่ใครต่อใครพากันอพยพมาอยู่ปารีส การเกิดมาเป็นช่างภาพผู้หญิงที่มีเชื้อสายยิว หรือการเป็นช่างภาพฮังกาเรี่ยนที่ไม่มีคนรู้จัก ชาติกำเนิดเช่นนี้ ในยุคนี้ไม่ค่อยเอื้อต่ออาชีพการงานสักเท่าไร ทำให้พวกเขา มีความคิดและจึงสร้างตัวละครขึ้นมาอีกหนึ่ง คนที่มีชื่อเรียกง่ายๆ แบบอเมริกัน และมีสถานะทางสังคม ที่จะเอาไว้โอ้อวด หรือจะช่วยในการส่งเสริมงานภาพถ่ายของพวกเขาได้นั่นเอง

ทั้ง "เกอด้า ทาโร" และ "อองเดร ฟรีแมน" ได้สร้าง "โรเบิร์ต คาปา" ขึ้นมาเป็นนิยายโกหกของพวกเขา โดยสร้างตัวตนสมมุติ "โรเบิร์ต คาปา" ให้เป็นมหาเศรษฐีชาวอเมริกัน และเป็นช่างภาพมีชื่อเสียงในอเมริกาที่กำลังเดินทางเพื่อทำการบันทึกภาพเหตุการณ์ในยุโรปขณะนั้น ส่วนเกอด้าและอองเดรทั้งสองสวมบทบาทฐานะเป็น "ตัวแทนธุกิจ" ของคาปา ที่จะเสนอขายภาพข่าวเหล่านั้นให้สำนักพิมพ์-สำนักข่าว ซ้ำยังเรียกร้องราคาที่สูงกว่าปกติอีกด้วย เหตุผลที่เกอด้าอธิบายคือ ท่านคาปาเป็นผู้มีชื่อเสียงล้นฟ้าในสหรัฐฯ และจะไม่พอใจอย่างมาก หากสำนักพิมพ์จะจ่ายค่ารูปในราคาเท่าที่จะจ่ายให้ช่างภาพต่ำต้อยทั่วไป เพราะท่านคาปา จะถือเป็นการดูถูกอย่างรุนแรง

แม้ไม่มีหลักฐานปรากฏชัดว่าบรรณาธิการสำนักพิมพ์เหล่านี้จะเชื่อคำโกหกของเธอจริงๆ หรือไม่ แต่ว่าพวกเขาก็ได้ซื้อภาพถ่ายที่ทั้งเกอด้าและอองเดร เสนอขายในนามของคาปา และขายในราคาสูงกว่าปกติเสียด้วย ซึ่งอย่างไรก็ตามในตอนนั้นท่าน "โรเบิร์ต คาปา" ไม่มีตัวตนอยู่จริง ภาพที่ถ่ายทุกภาพจึงเป็นผลงานของเกอด้าและอองเดร ซ้ำยังเป็นงานถ่ายที่เฉียบคมน่าสนใจมากๆ ภาพถ่ายเหล่านั้นสร้างชื่อเสียงให้กับ "โรเบิร์ต คาปา" มากขึ้นทุกวันๆ ปัญหาคือพวกเขาจะเล่นมุกแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน เพราะว่าในวงการภาพข่าวและสังคมในยุคนั้น ทุกคนในวงการนั้นต่างก็รู้จักกันเกือบหมด และที่สำคัญหนึ่งในเอเจนซี่ที่พวกเขาเอางานในนาม "โรเบิร์ต คาปา" ไปขายนั้นก็ไม่ใช่อื่นไกลอย่างเช่น "Alliance Photo" เป็นที่ที่เกอด้าเธอทำงานอยู่ในกองบรรณาธิการภาพด้วย และคนๆ หนึ่งที่เธอเดินเข้าไปขายงานก็คือ Maria Eisner หัวหน้าเธอนั่นเอง

โดยพวกเขาทั้งสองได้เล่นเกมที่อันตรายเช่นนี้อยู่พักหนึ่ง แต่ทั้งนี้ความลับมันไม่มีในโลก จึงได้ถูกเปิดโปงขึ้น แต่ทว่า บรรณาธิการหนังสือ "Vue" คือ "Lucien Vogel" ไม่ได้สนใจประเด็นนี้ ก็เพราะไม่ว่าจะเป็น "โรเบิร์ต คาปา" หรือไม่ว่าจะเป็น "เกอด้า ทาโร่" หรือ "อองเดร ฟรีแมน" ตราบใดที่พวกเขานั้นยังถ่ายภาพที่สุดยอดเช่นนี้ได้ จะเป็นใคร จะใช้ชื่ออะไร ก็ไม่สำคัญแล้ว ซึ่งเมื่อมาถึงตรงนี้ "อองเดร ฟรีแมน" จึงได้ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อ มาเป็น "โรเบิร์ต คาปา" อย่างเต็มตัว อาจจะเป็นเพราะความต้องการจะสานต่อในตำนานขำๆ ของพวกเขาเอง หรืออาจเป็นเพราะชื่อ "โรเบิร์ต คาปา" ติดตลาดไปแล้วไม่มีใครที่หยั่งรู้ใจของเขาได้จริง

ส่วนเกอด้าที่เปลี่ยนชื่อที่ชื่อ "Gerta Pohorylle" มาเป็น "Gerda Taro" ซึ่งก็ได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อนี้อย่างเป็นทางการเช่นกัน นามสกุล "ทาโร่" (Taro) นั้น เธอนำมาจากชื่อของศิลปินเซอเรียลลิสต์ชาวญี่้ปุ่นที่กำลังโด่งดังในขณะนั้นก็คือ "Tarō Okamoto" และในส่วนที่มาของชื่อ "Robert Capa" ก็มีการบอกเล่าต่างกันไป โดยคำว่า "Capa" ในภาษาฮังกาเรี่ยนนั้นจะหมายถึง "ฉลาม" หลายคนจึ้งได้คาดเดาว่า อาจหมายถึงธรรมชาติวิชาชีพของช่างภาพข่าว

ถึงตรงนี้แล้วก็มีเพียงคนที่ชื่อ "เกอด้า ทาโร" (Gerda Taro) กับ "โรเบิร์ต คาปา" (Robert Capa) เท่านั้น ไม่มีคนที่ชื่อ "Gerta Pohorylle" และ "อองเดร ฟรีแมน" อีกต่อไป จนในวันที่ 17 เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1936 ได้เกิดเหตุการณ์สู้รบใสสงครามกลางเมืองสเปน (Spanish Civil War) ที่สู้รบกันจนถึงวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1939 โดยเริ่มต้นจากกลุ่มลัทธิเผด็จการทหารฟาสต์ซิส ได้ทำการก่อรัฐประหาร แต่ว่าไม่สามารถควบคุมได้ทุกเมือง ส่งผลให้รัฐบาลสาธารณรัฐทำการตอบโต้ และพยายามชิงยึดพื้นที่มาคืน ทำให้ทั้งประเทศกลายเป็นสนามรบ สงครามจบลงด้วยชัยชนะของเผด็จการทหาร ที่ต่อมาได้ครอบครองประเทศอยู่นานกว่า 30 สิบปี

ซึ่งทั้ง "เกอด้า ทาโร่" และ "โรเบิร์ต คาปา" ได้เข้าไปถ่ายภาพในสงครามกลางเมืองสเปนตั้งแต่ปี 1936 อย่างไรก็ตาม ทั้งสองยังคงใช้ชื่อ "โรเบิร์ต คาปา" ร่วมกันอยู่ในการขายภาพถ่าย ซึ่งงานช่วงแรกนั้นยังสามารถแยกแยะได้ว่า ใครคนไหนเป็นคนถ่ายภาพนั้นๆ เพราะเกอด้าตอนนั้นใช้กล้อง "Rollei" (Rolleiflex) ซึ่งเป็นฟอแมตสี่เหลี่ยมจตุรัส ขณะคาปานั้นใช้กล้อง "Leica" ที่เป็นฟอแมตแบบแนวนอน กระทั่งปี 1937 ที่ทั้งคู่หันมาเปลี่ยนใช้กล้องแบบ 135 ที่เหมือนกัน แต่ถึงตอนนี้ "เกอด้า ทาโร่" ได้เริ่มแบ่งแยกตัวเองออกจากความเป็น "โรเบิร์ต คาปา" และเริ่มห่างออกจาก "โรเบิร์ต คาปา" ที่มีตัวตน (อองเเดร ฟรีแมน) เพราะเธอจริงจังกับเหตุการณ์สงครามกลางเมืองสเปนมากกว่า เสมือนเป็นสงครามส่วนตัวของเธอในการต่อสู้กับเผด็จการทหาร

โดยสังคมของเธอเริ่มขยายวงกว้างขึ้น และมีผู้คนที่มีแนวคิดใกล้เคียงกับเธออย่างเช่นนักข่าวอเมริกันที่เป็นนักเขียนชื่อดังในเวลาต่อมาก็คือ "เออเนส เฮมมิ่งเวย์" (Ernest Hemingway) และนักเขียนชาวอังกฤษชื่อ "จอร์ช ออเวล" (George Orwell) ด้วย นอกเหนือจากภาพถ่ายและการเมืองแล้ว เธอยังมีความตั้งใจที่จะกลับไปช่วยครอบครัว ให้หลบหนีออกจากเยอรมัน ไปอยู่สหรัฐอเมริกา ช่วงเวลานั้นเธอปฏิเสธคำขอแต่งงานจากโรเบิร์ต คาปา ซึ่งไม่มีใครรู้เหตุผลที่แท้จริง เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายสังคม เมื่อทุกคนมองว่าทั้งสองนั้นรักกันมากมายอีกด้วย

ต่อมาในวันที่ 26 กรกฎาคม 1937 ขณะนั้น "โรเบิร์ต คาปา" กำลังเดินทางไปธุระในปารีส ส่วนเกอด้ายังอยู่ในสเปน และออกทำการถ่ายภาพในสนามรบตามปกติ และในวันนั้นเองเธอประสบอุบัติเหตุรถถังชนกับรถบรรทุกที่เกอด้านั่งอยู่ด้วย ทำให้เกอด้าเสียชีวิตในเวลาต่อมา อย่างไม่มีใครคาดคิดด้วยวัยเพียง 26 ปีปลายๆ ก่อนที่จะถึงวันเกิดครบ 27 ของเธอเพียงไม่กี่วัน (เธอเกิด 1 สิงหาคม)

ทั้งนี้ ตามบันทึกของ "เท็ด อเลน" (Ted Allan 1916–1995) นักเขียนชาวแคนาดา ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานกับคาปาและเกอด้าในช่วงสงครามกลางเมืองสเปน และเป็นคนที่อยู่กับเกอด้าวันที่เธอเสียชีวิต บันทึกนั้นกล่าวไว้ว่า ระหว่างที่รถบรรทุกเคลื่อนตัวเพื่อที่จะออกจากสมรภูมิแล้ว ส่วนอีกด้านหนึ่งของถนนได้มีรถถังของฝ่ายรัฐบาลถูกเครื่องบินข้าศึกโจมตีและกำลังขับหลบไปมา รถบรรทุกจึงพยายามจะหลีกลงข้างทาง แต่ก็ยังไม่ทันพ้น ทำให้เข้าพุ่งเข้าชนกันเสียก่อนและคืนวันนั้นเกอด้าได้เสียชีวิตลงในห้องผ่าตัด

สำหรับ "เกอด้า ทาโร่" นั้น เธอเป็นสาวสวย แต่หัวรุนแรง เป็นช่างภาพระห่ำสุดขั้ว ออกสู่สมรภูมิแนวหน้าตลอดเวลา แม้เธอจะไม่ใช่ช่างภาพที่โด่งดังในขณะนั้น และไม่ได้มีผลงานมากมายนัก แต่มีอิทธิพลต่อศิลปะภาพถ่ายอยู่ไม่น้อย เป็นงานภาพถ่ายธรรมดา ที่บันทึกเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ โศกนาฏกรรมของมนุษยชาติ ทั้งการต่อสู้ของประชาชนกับกองทหารเผด็จการ ซึ่งภาพถ่ายของเธอบอกเล่าเสี้ยววินาทีสั้นๆ เหล่านั้นได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งนี้งานของคาปาเองก็เป็นการบอกเล่าในแบบเดียวกันกับเธอ ความตายของเธอจะมีผลกระทบต่อชีวิตของคาปามากน้อยเพียงใดไม่มีใครตอบได้

แต่ทว่าชีวิตของโรเบิร์ต คาปา หลังจากนั้นแล้ว สำหรับเขา ทุกวันจะกลายเป็นเสมือนวันสุดท้ายเสมอ เมื่อเขาใช้ชีวิตอย่างเกินกว่าที่คนธรรมดาจะสามารถทำได้ "โรเบิร์ต คาปา" เยือนสมรภูมิสำคัญตลอดสงครามโลก และหลังจากนั้นไม่ว่าจะเป็นการสู้รบในประเทศจีน (ระหว่างการรุกรานของญี่ปุ่น) ในสมรภูมิในแอฟริกา อิตาลี่ การยกพลขึ้นบกที่นอมังดี (ค.ศ.1944) ที่ซึ่งเขาได้สร้างมาตรฐานใหม่ของงานภาพข่าวที่ดุเดือด เกาะติดสถานการณ์ ทุกเสี้ยววินาทีชีวิตที่บันทึกอย่างตรงไปตรงมา ความจริงที่เหนือความคาดหมาย จนแลดูเหนือจริง และนี่คือ "ภาพถ่ายศิลปะสมัยใหม่" นั่นเอง

ผลงานโด่งดังชิ้นหนึ่งของ "โรเบิร์ต คาปา" จากสงครามกลางเมืองสเปนคือ ภาพถ่ายการตายของทหารฝ่ายสาธารณรัฐ (Death of a Republican Soldier ค.ศ. 1936) โดยในภาพถ่ายของเขาทหารผู้นี้ถูกกระสุนผงะหงายไปเบื้องหน้า สองแขนเหยียดออก ฉากหลังมีเพียงท้องฟ้าว่างเปล่า จะเป็นวินาทีที่งดงาม หากไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้วงเวลานั้น อย่างไรก็ตามเกือบครึ่งศตวรรษให้หลัง ได้มีผู้โต้แย้งภาพนี้ในประเด็นความถูกต้องของข้อมูล อาจเป็นเพราะคาปาระบุที่เกิดเหตุนั้นไว้เป็นชื่อหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ที่นักประวัติศาสตร์และนักวิจารณ์รุ่นหลังกล่าวว่า ช่วงนั้นของสงคราม ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นที่หมู่บ้านแห่งนี้ และหมู่บ้านแห่งนี้อยู่คนละทิศละทางกับสนามรบอีกด้วย แน่นอนว่า เรื่องนี้ยังไม่มีคำตอบอะไรชัดเจน อาจเป็นแค่การเขียนชื่อสถานที่ผิดพลาด หรืออาจมีเบื้องหลังอะไรมากกว่านั้นก็ไม่มีใครให้คำตอบได้

แต่ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ก็มิได้ลดทอนคุณค่าของภาพถ่ายนั้นเลย และที่แน่นอนที่สุดคือ ทั้งคาปาและเกอด้าได้ใช้ชีวิตช่วงหนึ่งกลางสนามรบสเปนจริง ที่ทำให้คนหนึ่งตายในสนามรบ และอีกคนหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจากนี้จะเปลี่ยนไปตลอดกาล โดยหลังการตายของเกอด้า คาปาก็เดินทางไปถ่ายภาพสงครามในประเทศจีนและได้กลับย้อนมาบันทึกสงครามกลางเมืองสเปนอีกครั้งช่วงสั้นๆ ในปี 1939

การทำงานของ "โรเบิร์ต คาปา" นั้น อาจเสี่ยงอันตรายอยู่ทุกวินาที แต่ในชีวิตส่วนตัวของเขา กลับเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ไม่เคยมีใครเห็นเขาเมาไร้สติทั้งที่เป็นคนดื่มหนักมาก ทั้งคาปายังมีรสนิยมการแต่งตัวที่ดี เข้าใจเลือกเสื้อผ้าชั้นเยี่ยม อาหารชั้นยอด นอนในโรงแรมชั้นหนึ่งเสมือนบ้านของตนเอง เขาไม่ชอบชีวิตชนบทแม้แต่น้อย นอกจากนั้นยังเป็นที่นิยมของสาวสวย และก็มีความสัมพันธ์ทำนองอยู่ตลอดมา เพราะความมีมนุษย์สัมพันธ์อันยอดเยี่ยมของเขาเองที่ทำให้รู้เป็นที่จักของผู้คนมากมายทั้งเหล่าศิลปิน นักเขียน นายทหาร นักการเมือง หรือบุคคลสำคัญ ที่ส่วนหนึ่งเป็นเครือข่ายสังคมที่คุ้นเคยกันมาสมัยที่เกอด้ายังมีชีวิต

แต่ทว่าท่ามกลางแวดวงสังคม สำหรับชีวิตส่วนตัวของเขานั้น ค่อนข้างเก็บเงียบ โดดเดี่ยว และไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ในปี 1942 ระหว่างถ่ายภาพสงครามในอาฟริกาเหนือ เขาก็ได้ย้ายมาสังกัดที่นิตยสาร "LIFE" และในปีต่อมากองทัพสัมพันธมิตรนำโดยสหรัฐฯ วางแผนบุกอิตาลี่ด้วยการโดดร่มลงไปที่เกาะซิซีลี (Sicily) เพื่อเริ่มปลดปล่อยทวีปยุโรปจากจุดนั้น ซการบุกเกาะซิซีลีกล่าวกันว่า ได้รับความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งกลุ่มมาเฟียอิตาลีในอเมริกาคอยประสานงานด้วย "โรเบิร์ต คาปา" เดินทางไปกับหน่วยพลร่มและโดดลงจากเครื่องบินพร้อมทหารหน่วยแรก เขาร่วมถ่ายภาพในศึกครั้งนั้นจนถึงปี 1944 จึงได้กลับไปยังลอนดอน ประเทศอังกฤษ และก็ได้พบปะเพื่อนฝูง ทั้งกิน ทั้งเที่ยวอยู่เรื่อยๆ

ต่อมาระหว่างปี 1943 เดือนกุมภาพันธ์ คาปาพบกับสาวผมแดงชื่อ "เอลีน จัสติน" (Elaine Justin) ที่เป็นภรรยาของนักแสดง "จอห์น จัสติน" (John Justin) นั่นเอง โดยทั้งคาปาและเอลีนเริ่มสัมพันธ์โรแมนติกยืนยาวอยู่จนถึงปลายสงคราม ถัดมาสงครามโลกเดินมาใกล้จุดสุดท้ายเยอรมันและญี่ปุ่นกลายเป็นฝ่ายตั้งรับ จนในวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1944 การโจมตีนอมังดี เพื่อปลดปล่อยฝรั่งเศสได้เริ่มขึ้น กำลังทหารพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่หาดโอมาฮา (Omaha Beach) เป็นการรบที่นองเลือดมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ท่ามกลางสภาพอากาศที่เลวร้าย แผนรบคลาดเคลื่อน ผิดพลาดมากมาย แต่กองทัพสัมพันธมิตรไม่มีทางเลือกอื่นใดแล้วนอกจากจะต้องบุกยึดพื้นที่นั้นให้ได้

โดย "โรเบิร์ต คาปา" ได้อาสาขึ้นฝั่ง ไปพร้อมหน่วยรบหน่วยแรก แม้ว่าเจ้าหน้าที่ทางทหารไม่เห็นด้วย เพราะตามสถิติแล้วหน่วยรบที่ก้าวขึ้นฝั่งเป็นหน่วยแรกมักเป็นหน่วยที่ตายหมดทุกคนเสมอมา และช่างภาพที่ตายแล้วคงถ่ายรูปไม่ได้ แต่คาปายังคงยืนยันจะไปพร้อมกับหน่วยแรก แต่ก็ตกลงกันได้ที่เขาต้องไปกับหน่วยที่เป็นหนุ่วยบุกระลอกสอง ซึ่งยังคงความดุเดือดไม่น้อยกว่าหน่วยรบหน่วยแรกเลย ในที่สุดคาปาก็ได้เข้าไปและบันทึกเหตุการณ์รบในสมรภูมิประวัติศาสตร์นี้ไปจำนวน 4 ม้วน เมื่อเตรียมโหลดฟิล์มม้วนต่อไป และพบว่ามือเขาสั่นจนไม่สามารถถ่ายต่อไปได้ ซึ่งในที่สุดแล้วนาทีประวัติศาสตร์ของเขาจบลงเพียงเท่านั้น เมื่อเขาได้ถูกส่งกลับขึ้นไปเพื่อรักษาพยาบาลบนเรือรบนั่นเอง

ทั้งนี้ ความตื่นเต้นมิได้หยุดแค่ในสมรภูมิ ยังมีช่างเทคนิคห้องมืดของนิตยสาร "LIFE" ประจำนครลอนดอน ที่เข้าใจดีว่าภาพที่คาปาถ่ายนี้เป็นภาพประวัติศาสตร์ชุดที่สำคัญมากยิ่ง เกิดเป็นความกลัวผิดพลาดในการล้างฟิล์มนั่นเอง และแล้วพวกเขาก็ทำพลาดจริงๆ ในระหว่างการล้างฟิล์ม เนกาทีฟนั้นเสียไปเกือบทั้งชุด ผู้ช่วยห้องมืดอายุ 15 ปี "เดนนิส แบงค์" (Dennis Banks) ตั้งอุณหภูมิเครื่องเป่าแห้งสูงเกินไป ทำให้ผิวหน้าของเนกาทีฟละลาย แม้จะพยามแก้ไขความผิดพลาด แต่ก็ได้เพียงบางส่วน โดยมีแค่ 11 เฟรมแรกเท่านั้นที่ยังคงเหลืออยู่ ซึ่งนิตยสาร "LIFE" ได้อธิบายภาพชุดนี้ว่า "slightly out of focus" หรือ "ค่อนข้างพร่ามัว" ซึ่งให้อารมณ์ร่วมไปอีกแบบหนึ่งที่บ่งบอกวินาทีแห่งความเป็นความตายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ที่สำคัญรูปแบบภาพประเภทนี้นำมาประยุกต์ใช้กับงานภาพยนตร์ในยุคต่อมา เช่นภาพยนตร์เรื่อง "Saving Private Ryan" ฉากยกพลขึ้นบกนั่นเอง

ต่อมาช่วงปลายปี 1945 คาได้พบกับ "อิงกริด เบิร์กแมน" (Ingrid Bergman) ดาราสาวสวยมีชื่อเสียงโด่งดังยุคนั้น ทั้งสองเริ่มความสัมพันธ์ลึกซึ้ง คาปาตามเธอไปอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย ในสหรัฐอเมริกา แต่ดูเหมือนเขาไม่ชอบชีวิตแบบนั้นเท่าใด ซึ่ง "อิงกริด เบิร์กแมน" ต้องการจะแต่งงานกับเขา แต่คาปาตัดสินใจที่จะกลับไปสู่ชีวิตช่างภาพข่าวสงครามที่เขารักเสียมากกว่า เลยปฏิเสธเธอไป

ถัดมาภายหลังสงครามโลกยุติแล้ว เพื่อนช่างภาพที่ร่วมงานกันมาแต่ก่อนสงคราม และแต่สมัยที่เกอด้ายังมีชีวิต เช่น อองรี คาทิเอ เบรซง และ เดวิด ซีมอร์ (david Seymoor) ก็ชักชวนคาปาร่วมก่อตั้งเอเจนซี่ภาพถ่ายอันเป็นจุดกำเนิดของแมกนั่ม (Magnum Photos) และจากนั้นกิจกรรมของคาปาเริ่มห่างไกลจากสงครามที่ หันมาสู่งานด้านการบริหารมากขึ้น โดยเฉพาะหลังการเกิดประเทศอิสราเอล (1948) ที่นำโลกเข้าสู่ความขัดแย้งของในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง (อันเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามก่อการร้ายในเวลาต่อมา) โดยในการสู้รบระหว่างอิสราเอล-อาหรับ คาปาก็เกือบต้องเสียชีวิต เขาประกาศเลิกการถ่ายภาพสงคราม หันมาเขียนหนังสือ ในปี 1954 ขณะอยู่ในประเทศญี่ปุ่น อีกทั้งดูแลการจัดนิทรรศการภาพถ่ายของแมกนั่ม

ต่อมานิตยสาร "LIFE" เกิดความต้องการช่างภาพ เพื่อเดินทางไปถ่ายภาพในสงครามอินโดจีน ซึ่งทั้งที่เขาประกาศเลิกการถ่ายภาพสงครามไปแล้ว แต่เขากลับอาสารับงานนี้เอง นั่นคืองานชิ้นสุดท้ายในชีวิตของเขา วันที่ 25 พฤษภาคม 1954 ช่างภาพสงคราม "โรเบิร์ต คาปา" ได้เดินเหยียบกับระเบิดและเสียชีวิต โดยในมือของเขายังคงถือกล้องถ่ายภาพอยู่ ทั้งนี้เขาได้เคยกล่าวไว้ว่า "สงครามเหมือนนักแสดงหญิงแก่ๆ คนหนึ่ง ยิ่งนานวัน ยิ่งอันตราย และยิ่งนานวัน ยิ่งถ่ายรูปไม่ขึ้น
(to me war is like an aging actress, more and more dangerous, less and less photogenic)


Chill-Chill ๛` บ า ง ที ก็ เ ล ว `๛


_BoAt

  • Newbie
  • *
    • กระทู้: 99



[ประวัติ " อิชิอิ ชิโร "..ทหารแพทย์ปีศาจแห่งญี่ปุ่นในยุคนานกิง]

. . . นายแพทย์อิชิอิ ชิโร เกิดวันที่ 15 มิถุนายน ปี ค.ศ. 1892 ในหมู่บ้าน ชิโยดะ มูระ จังหวัดชิบะ เป็นลูกคนที่สี่ในครอบครัวที่มั่งคั่ง เป็นเศรษฐีที่นาที่ใหญ่ที่สุดในเมือง
. . . ในด้านการศึกษาของหมออิชิอินั้น เรียกว่าถึงขั้นอัจฉริยะ เขามีพรสรรค์พิเศษในเรื่องความจำตั้งแต่เด็ก เขาสามารถท่องบทกวีที่ยาวๆและซับซ้อนได้อย่างเหลือเชื่อ
. . . อย่างไรก็ตาม เพื่อนๆ เขาเขานั้นมักพูดถึงหมออิชิอิว่า เป็นคนอวดดี ก้าวร้าว และยโสโอหัง ชอบเบ่งว่าเป็นลูกคนรวย
. . . เมื่ออิชิอิจบมัธยมในเดือนเมษายน ปี 1916 เขาก็ไปสอบนายแพทย์ต่อในมหาวิทยาลัยเกียวโต ซึ่งอาจารย์ทั้งหลายชื่นชมเขามาก ว่าเป็นคนขยันและฉลาดปราดเปรื่อง ถึงขั้นให้หมออิชิอิทำงานวิจัยระดับสูง ในขณะที่เพื่อร่วมรุ่นยังศึกษาวิชาพื้นฐานทางการแพทย์อยู่เลย
. . . ด้วยเหตุนี้ เขาจึงยิ่งยโสโอหังเกินกว่านักศึกษาคนอื่นๆ ยิ่งขึ้นไปอีก แต่ความยโสโอหังนี้เป็นของจริง เพราะผลงานทางวิชาการของเขาใครๆ ต่างชื่นชม จนสามารถจบโรงเรียนแพทย์ได้ในเดือนธันวาคม 1920 เมื่ออายุ 28 ปี
. . . หมออิชิอิเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว เขามีโครงสร้างคล้ายฝรั่ง เป็นคนสูงใหญ่ ใส่แว่นบางครั้ง พูดภาษาอังกฤษเก่ง เขามักพูดเสียงดังสนั่นไม่สนใจหรือกลัวใคร มีร่างกายแข็งแกร่งกำยำ เพื่อนร่วมงานหลายคนเชื่อว่าหมออิชิอิแข็งแรงผิดมนุษย์
. . . ในช่วงเวลาที่หมออิชิอิจบโรงเรียนแพทย์นั้นญี่ปุ่นเริ่มเข้าสู่สงครามโลก ซึ่งตระกูลชิโรเป็นตระกูลใหญ่ที่รักชาติและองค์สมเด็จพระจักรพรรดิยิ่งชีวิต ไม่น่าแปลกอะไรที่อิชิอิ ชิโรจะแสดงบทบาทรักชาติสมัครเข้าเป็นแพทย์ทหารทันที
. . . เขาใช้เวลาไมกี่เดือนก็ได้รับยศ "อิชิอิ ชิโร" และถูกส่งเข้าไปรับการฝึกฝนเป็นแพทย์ทหารเพื่อเตรียมเข้าสู่สนามรบ โดยสังกัดอยู่ในกองพลรักษาองค์พระจักรพรรดิที่ 3
. . . เมื่อเขาเข้าร่วมเป็นแพทย์ทหารประจำกองทัพญี่ปุ่นเขารู้สึกสนใจอาวุธชีวภาพมากเนื่องจากมันเหมาะกับญี่ปุ่นที่เป็นประเทศเล็กที่ไม่เหมาะในการสู้รบแบบปะทะกัน อีกทั้งอาวุธเชื้อโรคและเคมีนั้นเป็นอาวุธที่มีพิษสงรุนแรง ราคาถูก
. . . วันที่ 9 เมษายน 1921 อิชิอิ ชิโร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดได้รับยศเป็นร้อยเอกของกองทัพโดยสมบูรณ์ และเพื่อสานฝันงานด้านวิจัยมนุษย์เขาขอย้ายตัวเองไปศึกษาที่โรงพยาบาลทหารในกรุงโตเกียวเมื่อวันที่ 1 กันยายน 1922
. . . ชีวิตในโตเกียวนั้น หมออิชิอิ ได้รับฉายานามจากเพื่อนๆ ว่า "เสือผู้หญิง" "พ่อบุญทุ่ม" "นกเค้าแมว" และ "คอทองแดง"
. . . หมออิชิอิ เป็นพวกโลลิคอน ชื่นชอบเด็ก เขายินดีจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อซื้อบริการเกซิซามือใหม่วัยไม่ถึง 19 ปี อีกทั้งเป็นคนชอบเที่ยวยันสว่างทุกคืน แต่สามารถทำงานโดยไม่หยุดพัก แต่ประสิทธิภาพในการทำงานลดน้อยลง
. . . แต่ด้วยความสามารถ ความฉลาด และเป็นลูกชายตระกูลใหญ่ที่มีความสัมพันธ์กับนักการเมืองระดับสูง ทำให้ไม่มีใครกล้าตักเตือนอะไรกับเขามากนัก ตรงกันข้าม หัวหน้ายังส่งหมออิชิอิไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยในโตเกียวอีกครั้งในปี 1924
ที่เกียวโต หมอชิโรศึกษาและทำงานด้านวิจัยทางด้านจุลชีววิทยา ภูมิคุ้มกันวิทยา พยาธิวิทยา และเวชศาสตร์ป้องกันโรค และที่นั้นเขาก็ได้แต่งงานกับลูกสาวของนายกสภามหาวิทยาลัย พร้อมกันนั้นเขาก็ได้ค้นพบไวรัสระบาดสายพันธุ์ใหม่ ที่ต่อมาใช้ชื่อว่า "โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบชนิดบี" ส่งผลให้ความสัมพันธ์ทั้งสายการเมือง ทหาร และวิชาการแนบแน่นยิ่งขึ้นไปอีก
. . . หมอชิโรจึงกลายเป็นคนดังด้วยเหตุนี้ แต่ในขณะที่เพื่อร่วมงานมักพูดถึงเขาว่า เขาเป็นคนฉลาดมาก ทำงานหนัก แต่ไม่มีวิญญาณของนักวิชาการอยู่ในจิตใจ แต่เขามีความทะเยอทะยาน อยากจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่โดยไม่นึกถึงความถูกต้องดีงาม บ่อยครั้งเลยที่เขามักแสดงความยโสต่อผู้ที่อาวุโสต่อเขา"
. . . ยกตัวอย่างเลย มีครั้งหนึ่งสมัยที่เขาเรียนเกียวโตอุปกรณ์เครื่องมือในห้องปฏิบัติการมีจำนวนจำกัดมาก นักศึกษาทั้งหมดมีตั้ง 30-40 คนต้องใช้อุปกรณ์ร่วมกัน และด้างล้างเครื่องมือให้สะอาดหลังเสร็จงานทดลอง ซึ่งเป็นงานที่เบื่อหน่ายมาก กินแรงและเวลาอย่างยิ่ง เพราะถ้าเครื่องมือไม่สะอาดจะทำให้ผลการทดลองผิดเพี้ยนได้
. . . แต่หมออิชิอินั้นเล่า เขามักย่องเข้าไปห้องปฏิบัติการหลังจากเสร็จงานล้างเครื่องมือแล้ว เขาทำการทดลองด้วยตนเองโดยใช้อุปกรณ์ที่นักศึกษาล้างไว้ เมื่อเสร็จงานเขาก็กองอุปกรณ์ไว้ที่อ่างล้างมือ ไม่ล้างซักแอะ
. . . มันเป็นคนเห็นแก่ตัวชัดๆ
. . . อีกตัวอย่างหนึ่ง หมอชิโรเป็นนักเที่ยวราตรีตัวฉลาก ไม่ว่างานหนักเพียงใด เขามักหนีไปเที่ยวกลางคืนเสมอ ทั้งๆ ที่ในครอบครัวมีลูกตั้ง 7 คน มีอยู่ครั้งหนึ่งเกิดปัญหาเรื่องการแพทย์เร่งด่วน เขาได้รับคำสั่งประชุมเพื่อแก้ปัญหานั้นทันที ตอนตีสาม แต่เขายังท่องราตรีอย่างหนำใจ ไม่สนว่าเพื่อนร่วมงานตอนตี 3 จะรู้สึกอย่างไร
. . . ในปีค.ศ. 1927 นายแพทย์อิชิอี ชิโร ได้เลื่อนยศเป็นพันตรีและสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก กลายเป็นพันตรีนายแพทย์ด็อกเตอร์อิชิอิ ชิโร พร้อมนิสัยเห็นแก่ตัวและหยิ่งยโสที่เพิ่มขึ้นตามมาด้วย
. . . ในช่วงนี้ ดร.อิชิอิ ได้คบค้าสมาคมกับเพื่อนๆ ที่มีแนวคิดนิยมหัวรุนแรง คลั่งความเป็นญี่ปุ่น ต่อต้านระบบทุนนิยม ต่อต้านแนวคิดเสรี คลั่งนาซี ฯลฯ
. . . เขาติดนิสัยจากพวกนี้เต็มๆ เลย...และแล้ววันที่เขารอมาถึง...วันที่เขาจะฆ่าคนอย่างถูกกฎหมาย


Chill-Chill ๛` บ า ง ที ก็ เ ล ว `๛